วันเสาร์ ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2568 03:41 น.

การศึกษา

นักวิชาการเสนอรัฐ แก้ "วิกฤตศรัทธา" ตั้งองค์กรกำกับดูแล "เงินบุญ" ใช้ e-Donation เพิ่มความโปร่งใส

วันศุกร์ ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 19.14 น.

          สถาบันเสริมศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยบทสัมภาษณ์ของ ดร.สรวิศ ลิ้มโอภาส พูลสวัสดิ์  นักวิชาการด้านการบริหารงานการกุศล องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร เสนอรัฐตั้งองค์กรกำกับดูแล "เงินบุญ" และใช้เทคโนโลยี (e-Donation) เพื่อเพิ่มความโปร่งใส

วิกฤตศรัทธาที่โยงใยกับ "เงิน"
           ในช่วงปีที่ผ่านมาสังคมไทยต้องเผชิญกับข่าวฉาวในวงการศาสนาหลายครั้ง ซึ่งมักมีจุดร่วมที่น่ากังวลคือ การพัวพันกับเรื่องทางด้านการเงิน ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความประพฤติส่วนบุคคล แต่เป็นร่องรอยของปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซ่อนอยู่ในความสัมพันธ์ระหว่าง "ทุน" และ "ธรรมะ" ในสังคมทุนนิยม เพื่อให้เกิดความเข้าใจและหาทางออกอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องวิเคราะห์ปัญหาการขาดองค์ความรู้และกลไกในการบริหารจัดการการกุศล (Charity Management) ในประเทศไทย
 
มูลค่ามหาศาลที่ไร้ผู้คุมกฎ
           จากการวิเคราะห์ข้อมูลและประสบการณ์ทำงาน พบว่า ภาคการกุศลและศาสนกุศลในไทย (รวมถึงวัด โบสถ์ มัสยิด และมูลนิธิ) เป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าสูงถึงหลักหมื่นล้านบาทต่อปี แต่กลับเป็นเซกเตอร์ที่ ขาดองค์ความรู้และกลไกกำกับดูแลอย่างชัดเจน


 
ความจริงที่ขาดหาย:
           ประเทศไทยมีองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายเกือบ 4,000 แห่ง และมีกลุ่มที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก เช่น อสม. หรือเครือข่ายที่ไม่เป็นทางการ แต่กลับไม่มีหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่เป็น "ผู้กำกับดูแล" (Regulator) ที่มีอำนาจตรวจสอบการเงินขององค์กรเหล่านี้โดยเฉพาะ
 
ความแตกต่างกับสากล:
           ในประเทศอย่างสหราชอาณาจักร มีหน่วยงานที่เรียกว่า "Charity Commission" ซึ่งเป็นกรมหนึ่งของรัฐบาลที่ทำหน้าที่กำกับดูแล ทุกองค์กรที่รับเงินบริจาค โดยไม่ยกเว้นวัด โบสถ์ มัสยิด หรือแม้แต่สถาบันของราชวงศ์ องค์กรเหล่านี้ต้องจดทะเบียน ต้องเปิดเผยบัญชีรายรับ-รายจ่ายอย่างโปร่งใส และหากมีการรับเงินบริจาคตามจุดประสงค์ที่กำหนด ต้องแยกบัญชีอย่างชัดเจน ไม่สามารถใช้เงินข้ามกล่องได้
 
ช่องว่างทางอำนาจ: เมื่อ "ศีลธรรม" คุม "การเงิน" ไม่ได้
           ปัญหาในประเทศไทยเกิดจากอำนาจกำกับดูแลที่กระจัดกระจายและไม่ครอบคลุม
 
ข้อจำกัดของสำนักพุทธฯ:
           สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ถูกตั้งขึ้นเพื่อดูแลเรื่องศีลธรรมและภารกิจของสงฆ์โดยตรง แต่อำนาจในการควบคุมเรื่องเงินมีจำกัด เมื่อเกิดปัญหา จึงทำได้เพียง "ขอความร่วมมือ" ให้วัดส่งบัญชีมา ซึ่งวัดที่ไม่ให้ความร่วมมือก็ไม่ถือว่าผิด และไม่มีกลไกบังคับใช้ตามกฎหมายที่ชัดเจน
 
ทางรอดของคอร์รัปชัน:
           การขาดการตรวจสอบที่เข้มงวด ทำให้องค์กรศาสนาหลายแห่งกลายเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการ คอร์รัปชันที่แยบยล และเป็น ช่องทางในการฟอกเงิน โดยนำเงินผิดกฎหมาย (เงินสีดำ/สีเทา) เข้าสู่ระบบบริจาคและนำไปใช้ในกิจการที่ดูเหมือนถูกต้องตามกฎหมาย (เช่น การจัดซื้อจัดจ้างที่ซับซ้อน หรือการลงทุน) ก่อนจะโอนกลับไปเป็นเงินถูกกฎหมายเข้ากระเป๋าของตนเอง
 
ข้อเสนอเพื่อการปฏิรูป: สร้าง "ความโปรงใส" และ "ความยั่งยืน"
           การแก้ปัญหาจะต้องดำเนินการทั้งในระดับวัฒนธรรมและระดับโครงสร้าง
 
           ก. ระยะสั้น: ปลูกฝังวัฒนธรรม "เอ๊ะ" และ "เปิดเผย"
 
           สร้างวัฒนธรรม "บริจาคอย่างมีสติ": ศาสนิกชนต้องเปลี่ยนจากการทำบุญ "ใช้ใจล้วน ๆ" มาเป็นการบริจาคอย่างมีสติ โดยตรวจสอบเบื้องต้นว่าเงินเข้าบัญชีชื่อองค์กร และติดตามผลการดำเนินงานย้อนหลัง
 
           วัดต้องนำร่อง "ความโปร่งใส": วัดสามารถเริ่มต้นสร้างความโปร่งใสได้ทันที โดย เปิดเผยบัญชีรายรับ-รายจ่าย ให้ชัดเจนบนช่องทางสาธารณะ (เช่น Facebook หรือป้ายประกาศในวัด) การทำบัญชีรายรับรายจ่ายประจำเดือน หรือประจำไตรมาส ไม่ใช่เรื่องยาก และช่วยสร้างความศรัทธาที่แข็งแกร่งกว่า
 
           ข. ระยะยาว: ผลักดัน Charity Regulator
 
           จัดตั้งผู้กำกับดูแลการกุศล (Charity Regulator): ภาคการเมืองควรผลักดันการจัดตั้งหน่วยงานที่มีอำนาจตามกฎหมายในการกำกับดูแลองค์กรการกุศลโดยเฉพาะ โดยอาจใช้กลไกการเก็บค่าธรรมเนียมจากมูลค่าการบริจาคแทนการใช้เงินภาษีทั้งหมด และสามารถจ้างบุคคลภายนอกมาช่วยตรวจสอบได้
 
           เชิดชูความโปร่งใสเป็นความดี: สํานักพุทธฯ สามารถสร้าง "วัฒนธรรมเชิงบวก" โดยการริเริ่มโครงการมอบรางวัลหรือประกาศเกียรติคุณ (Award) ให้กับวัดที่บริหารจัดการเงินด้วยความโปร่งใส ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้วัดอื่น ๆ พัฒนาตาม และช่วย "กันคนไม่ดีออกไป" จากวงการ
 
สรุป
           ความศรัทธาเป็น "ทองคำ" ที่มีค่า แต่ถ้าทองคำนั้นถูกนำไปใช้โดยไร้การตรวจสอบและธรรมาภิบาล ก็จะนำมาซึ่งความเสื่อมศรัทธาและความเสียหายต่อสังคม การตรวจสอบไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อ "จับผิด" แต่มีเป้าหมายเพื่อ "ปกป้องศรัทธา"และสร้างความมั่นคงยั่งยืนให้แก่ศาสนาและสังคมไทยในระยะยาวภาคการเมืองมีโอกาสที่จะสร้างนโยบายที่กล้าหาญนี้ใน นามของการปกป้องเงินบริจาคจากคนทั้งประเทศ

หน้าแรก » การศึกษา