วันพฤหัสบดี ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2568 03:10 น.

การศึกษา

นักวิชาการมธ.แนะ ไทยยังไม่พร้อมให้สัมปทาน ‘แร่แรร์เอิร์ธ’

วันพุธ ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 11.31 น.

นักวิชาการมธ.แนะ ไทยยังไม่พร้อมให้สัมปทาน ‘แร่แรร์เอิร์ธ’

 

นักวิชาการธรรมศาสตร์ เผย ไทยไม่พร้อมเข้าไปในห่วงโซ่อุปทานการผลิตแร่แรร์เอิร์ธ เหตุยังไม่มีกฎหมายรองรับ ขาดมาตรการควบคุม ไม่มีความรู้-เทคโนโลยีที่เหมาะสม ชี้รัฐบาลชั่วคราวไม่เหมาะให้สัมปทานประเทศอื่น

 

รศ. ดร.จารุประภา รักพงษ์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยถึงการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านแร่ธาตุหายาก หรือแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earths) ระหว่าง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กับ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 26 ต.ค.2568 ว่า ในช่วงเวลาอันใกล้หรืออย่างน้อยคือในปีนี้ ไทยยังไม่มีความเหมาะสมและความจำเป็นที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานของการผลิตแร่แรร์เอิร์ธ ที่ถือกันว่าเป็นอุตสาหกรรมที่สุ่มเสี่ยงต่อการทำลายสิ่งแวดล้อมเป็นวงกว้างได้เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมถ่านหิน เพราะไทยยังไม่มีความพร้อมใดๆ ทั้งการไม่มีกฎหมายรองรับในการควบคุมดูแลอุตสาหกรรมการผลิตแร่แรร์เอิร์ธ ไม่มีความพร้อมด้านองค์ความรู้ เทคโนโลยีที่ และกระบวนการผลิตที่เหมาะสมที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงไม่มีความพร้อมด้านการรับรู้และความเข้าใจของประชาชน

 

นอกจากนี้ รัฐบาลในปัจจุบันถือเป็นรัฐบาลชั่วคราวที่เข้ามาทำภารกิจตามกรอบเวลาที่กำหนด จึงไม่เหมาะสมที่จะผลักดันในการให้สัมปทานเพื่อผลิตหรือการขุดแร่แรร์เอิร์ธแก่ประเทศอื่นๆ รวมไปถึงการนำเข้าแร่จากประเทศอื่นๆ เพื่อนำมาผลิตต่อด้วย หากต้องผลักดันสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ประเทศไทยควรมีกฎหมายเพื่อกำกับดูแลห่วงโซ่อุปทานการผลิตแร่แรร์เอิร์ธก่อน ซึ่งก็ต้องผ่านกระบวนถกเถียงและมีมติเห็นชอบจากรัฐสภาตามกระบวนการ ฉะนั้นรัฐบาลชุดต่อไปซึ่งได้รับการเลือกตั้ง และได้รับฉันทมติมาจากประชาชนจะมีความเหมาะสมกว่าในการผลักดันการให้สัมปทาน

 

ทั้งนี้ สิ่งที่รัฐบาลปัจจุบันทำได้และควรทำ คือการเตรียมความพร้อม ทั้งมิติการศึกษา การร่างข้อกฎหมาย หรือการหามาตรการควบคุมป้องกันผลกระทบ และสำรวจหาพื้นที่ที่มีแร่อย่างเป็นทางการ ซึ่งต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและเป็นการสำรวจที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษพร้อมทั้งรับเอาการถ่ายทอดเทคโนโลยีองค์ความรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมนี้ ทั้งจากสหรัฐฯ หรือประเทศอื่นๆ ที่เข้ามายื่นข้อเสนอเช่นกัน

 

นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวต่อไปว่า MOU ว่าด้วยความร่วมมือแร่แรร์เอิร์ธที่ไทยทำกับสหรัฐฯ ไม่ได้มีผลผูกพันธ์เป็นข้อบังคับทางกฎหมาย ฉะนั้นหากมีการเจรจารายละเอียดเรื่องนี้กันอีกครั้ง ประเทศไทยควรแสดงท่าทีว่าไม่ได้เปิดรับแค่การลงทุนจากสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ไทยยังเปิดกว้างที่จะให้ความร่วมมือกับประเทศอื่นๆ ด้วย เช่น สหภาพยุโรป (EU) หรือจีน โดยหลักการสำคัญคือขึ้นอยู่กับข้อเสนอว่าประเทศใดมีความน่าสนใจที่สุด ซึ่งข้อเสนอที่ดีอาจไม่ได้หมายถึงแค่จำนวนเงินเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงมาตรการเรื่องการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม หรือการถ่ายทอดองค์ความรู้เทคโนโลยีที่ดีกว่าด้วย หากไทยสามารถดำเนินการได้ตามแนวทางเหล่านี้ที่ไม่ได้อิงไปทางสหรัฐฯ มากนัก ก็จะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของไทยในเวทีระหว่างประเทศและเป็นการสะท้อนไปยังจีนว่าไทยไม่ได้ทิ้งน้ำหนักทางการค้าไปยังสหรัฐฯ มากเกินไป

 

“สิ่งที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญไม่แพ้กัน คือการปรับปรุงข้อกฎหมายตรวจสอบย้อนกลับเพื่อป้องกันมลพิษข้ามแดน จากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธเถื่อนในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งส่วนหนึ่งกำลังสร้างมลพิษทางสิ่งแวดล้อมให้กับแม่น้ำกกของไทยในเวลานี้ โดยในกรณีที่ผู้ประกอบการไทยมีการนำเข้าแร่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน แล้วนำมาผลิตต่อเพื่อให้เกิดความบริสุทธิ์ของแร่ในไทย จะต้องไม่เป็นแร่ซึ่งมีที่มาจากเหมืองแร่ที่สร้างมลพิษทางน้ำและทางอากาศให้ไทย หากตรวจสอบย้อนกลับแล้วพบว่ามีที่มาจากเหมืองแร่ที่ก่อให้เกิดมลภาวะ ก็ควรจะยุติการนำเข้าทันที เรื่องนี้เป็นประเด็นที่มีปัญหามาอย่างต่อเนื่อง และรัฐบาลควรเร่งดำเนินการแก้ไข” รศ. ดร.จารุประภา กล่าว

ส่งข่าวได้ที่  email : saowaporn12345@gmail.com   และ  bat_mamsao@yahoo.com

หน้าแรก » การศึกษา