วันพุธ ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 10.20 น.
ม.กรุงเทพ ชู 6 หลักสูตร ปั้นบัณฑิตตอบโจทย์โลกอนาคต
ม.กรุงเทพ ปั้นบัณฑิตตอบโจทย์โลกอนาคตด้วย 6 หลักสูตรสอนจริง ทำจริง พร้อมทำงานได้ทันทีหนึ่งในความท้าทายที่วงการการศึกษาและธุรกิจเผชิญร่วมกันมายาวนาน
“ช่องว่างระหว่างความรู้ในห้องเรียนกับทักษะที่ตลาดงานต้องการจริง” ซึ่งยิ่งนับวันยิ่งห่างขึ้น ผู้ประกอบการจำนวนมากสะท้อนตรงกันว่า บัณฑิตจบใหม่ยังต้องใช้เวลาเรียนรู้งานเพิ่มอีกนาน ขณะที่บางฝ่ายมองว่าเด็กรุ่นใหม่มีความอดทนน้อย จนเกิดคำถามสำคัญว่า สถาบันอุดมศึกษาควรทำอย่างไรเพื่อลดช่องว่างนี้ให้ได้จริง
โดยสถานการณ์ดังกล่าว มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ไม่ได้เพียง “ปรับตัว” แต่เลือกที่จะแก้ Pain Point ด้วยการพัฒนาหลักสูตรที่ตอบโจทย์สถานประกอบการ ภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง มุ่งแก้ไขการศึกษาแบบดั้งเดิมที่เน้นทฤษฎีมากกว่าการลงมือทำ ผ่านการออกแบบประสบการณ์การเรียนรู้ที่ชัดเจนและแตกต่าง เพื่อสร้างบัณฑิตที่พร้อมทำงานได้ทันทีในโลกยุคใหม่

สร้าง Ecosystem พัฒนาหลักสูตร
ม.กรุงเทพ จัดงาน “One Day KOL at BU มหา’ลัย สุด COOL ที่ YOU ต้องมาทัวร์” ที่เปิดบ้านให้เหล่าอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) กว่า 50 ชีวิต ได้ร่วมสัมผัสโมเดลการศึกษาที่ทำงานร่วมกับภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรมในการพัฒนาหลักสูตร ผลิตคนรุ่นใหม่พร้อมทำงานได้ทันที

ผศ.สรรเสริญ มิลินทสูต รองอธิการบดีอาวุโสด้านวิชาการ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล่าวว่า การเปลี่ยนทำให้เกิดการแข่งขันที่รวดเร็ว ภาคธุรกิจต้องการปรับตัวสูง และปัญหาที่ได้ยินมาตลอด คือ สถาบันอุดมศึกษาได้ผลิตเด็ก สร้างคนแบบไหนถึงไม่ตอบโจทย์ ดังนั้น เพื่อให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงและเกิดความยั่งยืน ม.กรุงเทพ ได้กำหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาคนอนาคต เพราะไม่ว่าจะเป็นเด็กนักศึกษา หรือผู้ปกครองต่างคาดหวังถึงอนาคตที่ดี จบแล้วมีงาน และทำงานได้ทันที
"เราไม่ได้เป็นสถาบันที่มองเรื่ององค์ความรู้ หรือสร้างความรู้โดยไม่สนใจความต้องการของโลก เราพยายามที่จะหารือร่วมกับภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรมตั้งแต่เริ่มต้น ฉะนั้น โมเดลความร่วมมือแบบเดิมๆ ที่มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่คุ้นเคย คือความเป็นพันธมิตรเชิงธุรกรรม เช่น การเชิญผู้เชี่ยวชาญมาบรรยายพิเศษ หรือการส่งนักศึกษาไปฝึกงานเป็นครั้งคราว แต่ม.กรุงเทพได้ก้าวข้ามโมเดลนั้นไปสู่การสร้าง "Ecosystem" ที่เปลี่ยนกระบวนทัศน์ใหม่ มีเครือข่ายพาร์ทเนอร์กว่า 1,000 แห่ง และมหาวิทยาลัยไม่ได้มองเครือข่ายเป็นเพียงผู้รับนักศึกษาฝึกงาน แต่เป็นผู้ร่วมพัฒนาหลักสูตรตั้งแต่ต้นทาง”ผศ.สรรเสริญ กล่าว

“ความคิดสร้างสรรค์” มากกว่าคิดนอกกรอบ
ทุกหลักสูตร ทุกสิ่งที่มหาวิทยาลัยสอนล้วนสอดคล้องกับความต้องการของตลาด ผู้เชี่ยวชาญตัวจริงจากองค์กรชั้นนำจะเข้ามาสอนโดยใช้ "โจทย์จริง" ในการทำงานเป็นกรณีศึกษา และเมื่อบริษัทต่างๆ ได้เห็นศักยภาพและมีส่วนร่วมในการพัฒนาตัวตนของนักศึกษามาตั้งแต่ปีแรกๆ โอกาสในการฝึกงานและการจ้างงานจึงเปิดกว้างขึ้นโดยอัตโนมัติ
“ม.กรุงเทพเป็น "มหาวิทยาลัยสร้างสรรค์" (Creative University) แต่คำว่า "สร้างสรรค์" ในนิยามของที่นี่มีความหมายที่จับต้องได้และมีคุณค่าทางธุรกิจสูง เพราะนั่นเป็นความคิดสร้างสรรค์ที่สามารถนำไปสู่การปฎิบัติจริง เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งก่อนที่นักศึกษาจะ "คิดนอกกรอบ" ได้ ต้องเข้าใจ "กรอบการทำงาน" ของอุตสาหกรรม ฉะนั้น สิ่งที่ม.กรุงเทพปลูกฝังให้บัณฑิต คือ การมี Passion ในสิ่งที่ทำ มีความคิดสร้างสรรค์ มีทักษะทางสังคม และทำงานได้ทันที อย่างมืออาชีพ" ผศ.สรรเสริญ กล่าว

ปั้น "วิศวกร AI มีหัวใจผู้ประกอบการ”
แกะกล่อง! หลักสูตรใหม่ “วิศวกรรมปัญญาประดิษฐ์และการเป็นผู้ประกอบการ” อ.ภัทรารัตน์ ตั้งนิสัยตรง ผู้อำนวยการหลักสูตร กล่าวว่า หลักสูตรดังกล่าวเกิดขึ้น ภายใต้ความร่วมมือระหว่างม.กรุงเทพ และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ผสมผสานความรู้ด้านวิศวกรรม AI เข้ากับทักษะการเป็นผู้ประกอบการ หลักสูตรนี้ใช้ปรัชญา "ล้มให้เร็ว เรียนรู้ให้เร็ว" นักศึกษาจะได้เริ่มสร้างไอเดียธุรกิจและสามารถนำไปเสนอกับลูกค้าตัวจริงได้ตั้งแต่ปี 1 พวกเขาไม่ได้เรียนเพียงทฤษฎี แต่เรียนรู้จากโลกการทำงานจริง ผ่านการลงมือทำและแก้ไขปัญหาซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอด 4 ปี โดยมีเป้าหมายสร้างนวัตกร AI ที่มีหัวใจและความคิดสร้างสรรค์ตอบโจทย์ตลาดและสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้จริง

'เจ้าของโปรเจกต์' ระดับโลก
เช่นเดียวกับ 2 หลักสูตรใหม่ อย่าง “หลักสูตรนานาชาติ Film, Series and Global Content Production and Business” และ “หลักสูตร Virtual Production and Immersive Experience Design” นำโดย ดร.พีรชัย เกิดสินธุ์ ผู้ช่วยอธิการบดีสายวิชาการ และรักษาการคณบดีคณะดิจิทัลมีเดียและศิลปะภาพยนตร์ กล่าวว่า 2 หลักสูตรเกิดจากความต้องการของผู้ประกอบการทั้งในไทยและต่างประเทศ ซึ่งหลักสูตรนานาชาติ Film ฯ ถูกสร้างขึ้นมาจากการที่สตูดิโอต่างชาติเดินเข้ามาหามหาวิทยาลัย เพื่อมองหาคนรุ่นใหม่ที่มีไอเดียใหม่ๆ ไม่ใช่เพียงการผลิตนักทำหนัง แต่เป็นการสร้าง Showrunner หรือ Creative Producer ที่สามารถมองเห็นไอเดียที่มีศักยภาพ พัฒนาโปรเจกต์ให้เป็นรูปเป็นร่าง เข้าใจโมเดลธุรกิจ สามารถระดมทุน และทำการตลาดสู่สายตาผู้ชมทั่วโลกได้
ขณะที่ “หลักสูตร Virtual Production and Immersive Experience Design” ถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการบุคลากรจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี โดยมี 3 กลุ่มวิชาเอกที่ชัดเจน คือ 1. Virtual Production สำหรับอุตสาหกรรมภาพยนตร์โดยเฉพาะ 2. Immersive Experience Design สำหรับอุตสาหกรรมอื่น เช่น การแพทย์ (จำลองการผ่าตัด), อีคอมเมิร์ซ (ลองสินค้าเสมือนจริง) และ 3. Virtual Visualization ที่เป็นกระดูกสันหลังในการสร้างสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) ดังนั้น เด็กรุ่นใหม่ที่มาเรียนใน 2 หลักสูตรนี้จะเป็นที่ต้องการของตลาด จบไปมีงานทำอย่างแน่นอน

สอน “วิธีคิดแบบ CEO จีน”
ดร.นิธิวดี จรรยาสวัสดิ์ คณบดีวิทยาลัยนานาชาติจีน และหัวหน้าหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ (มุ่งเน้นธุรกิจจีน) กล่าวว่ามหาวิทยาลัยวางตำแหน่งตัวเองเป็น "สะพานเชื่อมระหว่างตะวันออกและตะวันตก" โดยมีเป้าหมายที่เหนือกว่าการสอนภาษา คือ การปลูกฝังให้นักศึกษามี "วิธีคิดแบบซีอีโออย่างจีน" และเข้าใจระบบนิเวศ (Ecosystem) ของการทำธุรกิจในโลกที่จีนมีบทบาทสำคัญ การจัดตั้งหลักสูตรบริหารธุรกิจที่สอนเป็นภาษาอังกฤษและภาษาจีนควบคู่กันจึงไม่ใช่ตอบสนองความต้องการกำลังคนของตลาดโลก แต่เป็นการเดินหมากเชิงรุกบนเวทีโลก เพื่อสร้างบัณฑิตที่พร้อมจะคว้าโอกาสและเติบโตไปพร้อมกับมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก

ทำงานตั้งแต่เรียนไม่จบ
ด้าน “หลักสูตรการตลาดดิจิทัล” ที่เปิดรับนักศึกษามาแล้ว 8-9 รุ่น “ดร.กิตติภูมิ ศุภมนตรี ผู้อำนวยการหลักสูตรการตลาดดิจิทัล” กล่าวว่าจุดเด่นของหลักสูตร คือการให้ความสำคัญกับการ "ลงมือทำจริง" มากกว่าทฤษฎีในห้องเรียน โครงงานของนักศึกษากว่า 70% เป็นโจทย์ที่ได้รับมอบหมายจากลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมจริงๆ โดยการเรียนการสอนจะเน้นให้นักศึกษาต้องทำวิจัยตลาดจริง วางแผนจริง และสร้างสรรค์คอนเทนต์ใช้งานได้จริง จนมีหลายโปรเจกต์ที่ลูกค้าตัดสินใจซื้อไปใช้งานต่อ ทำให้พวกเขาสะสมผลงานระดับมืออาชีพจับต้องได้ และพร้อมทำงานทันที หรืออาจจะถูกดึงตัวไปทำงานตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ

เป็นทั้ง “เชฟ” และผู้ประกอบการ
ตบท้ายด้วย “หลักสูตร Culinary Arts and Restaurant Service Management” หลักสูตรน้องใหม่ที่กำลังจะเปิดรับนักศึกษาในปี 2569 “ดร.ดารณี อาจหาญ ผู้อำนวยการหลักสูตร” กล่าวว่าหลักสูตรดังกล่าว นักศึกษาจะได้เรียนรู้การประยุกต์ใช้เทคนิคการทำอาหารสมัยใหม่ การดัดแปลงสูตร และการยกระดับคุณค่าของวัตถุดิบท้องถิ่นของไทย เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และธุรกิจอาหารรูปแบบใหม่ที่มีมูลค่าสูงขึ้น ผลิตเชฟที่ไม่ได้มีหน้าที่แค่ปรุงอาหารตามตำรา แต่เป็นผู้ประกอบการที่สามารถคิดค้นและสร้างแบรนด์อาหารของตัวเองได้ ดังนั้น ถ้าใครสนใจการทำอาหาร อยากมีร้านอาหาร หรือขยายร้านอาหารไปสู่นานาชาติ อยากให้ลองมาศึกษาข้อมูลของหลักสูตรดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม 6 หลักสูตร มุ่งเน้นการถ่ายทอดความรู้ และสร้าง "ทัศนคติแบบมืออาชีพ" "ทักษะที่ปฏิบัติได้จริง" และ "ผลงานที่จับต้องได้" ตลอดระยะเวลาในรั้วม.กรุงเทพ จะผลิตบัณฑิตที่ พร้อมทำงาน และเป็นผู้ประกอบการ ตอบโจทย์กับเทรนด์การทำงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว.