ม.กรุงเทพ เปิด 3 หลักสูตรสุดล้ำสร้างบัณฑิตรุ่นใหม่สู่เวทีโลก

ม.กรุงเทพ เปิด 3 หลักสูตรสุดล้ำสร้างบัณฑิตรุ่นใหม่สู่บทบาทผู้สร้างบนเวทีโลก

3 หลักสูตรใหม่ของม.กรุงเทพ “หลักสูตรนานาชาติ Film, Series and Global Content Production and Business” ,“หลักสูตร Virtual Production and Immersive Experience Design” ของคณะดิจิทัลมีเดียและศิลปะภาพยนตร์ และ “หลักสูตร Culinary Arts and Restaurant Service Management” คณะมนุษยศาสตร์และการจัดการการท่องเที่ยว ถูกออกแบบเพื่อเปิดเส้นทางสู่อาชีพแห่งอนาคตและตอบโจทย์ช่องว่างในเศรษฐกิจ ด้วยการเรียนรู้ที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะในห้องเรียน แต่เป็นการปั้นคนรุ่นใหม่ให้พร้อมเป็นผู้สร้างสรรค์และผู้ประกอบการที่โลกต้องการ 

ดร.พีรชัย เกิดสินธุ์ ผู้ช่วยอธิการบดีสายวิชาการ และรักษาการคณบดีคณะดิจิทัลมีเดียและศิลปะภาพยนตร์ เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการเปิด 2 หลักสูตรใหม่ในสายงานสร้างสรรค์ภาพยนตร์ และการสร้างโลกเสมือนจริง ว่า เมื่อพูดถึงหลักสูตรมหาวิทยาลัยในสายงานสร้างสรรค์อย่างภาพยนตร์  ภาพจำของหลายคนคงเป็นการเรียนรู้ทักษะเฉพาะทาง เช่น การกำกับ-เขียนบท ซึ่งล้วนเป็นทักษะที่สำคัญ แต่อาจไม่ใช่คำตอบสำหรับโลกอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป

สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)  ระบุชัดเจนว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์และคอนเทนต์เป็นหนึ่งใน "ดาวรุ่ง" ของเศรษฐกิจไทย ด้วยศักยภาพในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้าประเทศได้กว่า 7,000 ล้านบาท และยังช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอื่นๆ อย่าง การท่องเที่ยว อีกทั้งคำถามจากสตูดิโอต่างประเทศที่เข้ามาสอบถามยังมหาวิทยาลัย พวกเขาอยากได้ "เลือดใหม่" และ "ไอเดียใหม่ๆ" คิดและพัฒนาโปรเจกต์สำหรับตลาดนานาชาติได้ 

“ทักษะการผลิตภาพยนตร์ของไทยแข็งแกร่งมาก แต่ยังคงอยู่ในสถานะผู้รับจ้างผลิต ไม่ใช่ผู้สร้างสรรค์และเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา แกนหลักของหลักสูตรจึงถูกออกแบบใหม่ โดยมีสถานประกอบการเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างบุคลากรที่เรียกว่า "Showrunner" หรือ "Creative Producer" ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ขาดแคลนในอุตสาหกรรม” ดร.พีรชัย กล่าว

2 ทักษะผสมผสาน มากกว่าสร้าง Film

ดร.พีรชัย กล่าวต่อว่าหลักสูตรจะผลิตบุคลากรที่ผสมผสานทักษะ 2 ด้าน คือ 1. ด้านความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ต้องมองเห็นศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในทรัพย์สินทางปัญญา (IP) รูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูนมังงะ นิยาย หรือกระแสของนักแสดง แล้วนำมาพัฒนาต่อยอดให้เป็นโปรเจกต์ภาพยนตร์หรือซีรีส์ที่น่าสนใจในเชิงพาณิชย์ และ 2. ด้านธุรกิจ (Business Acumen) มีความเข้าใจในทุกมิติของธุรกิจคอนเทนต์ ตั้งแต่การบริหารจัดการโปรเจกต์ การระดมทุน การตลาด การประเมินและบริหารจัดการมูลค่าทรัพย์สินทางปัญญา และวิสัยทัศน์ในการมองเห็นโอกาสในตลาดระดับนานาชาติ 

"การเรียนการสอนถูกออกแบบให้เน้นการทำงานร่วมกับมืออาชีพ ไม่ใช่แค่การเรียนกับมืออาชีพ ตลอด 4 ปี นักศึกษาจะได้ลงมือทำโปรเจกต์จริงที่ได้รับโจทย์โดยตรงจากบริษัทภายนอก ทำให้เมื่อสำเร็จการศึกษา พวกเขาไม่ได้มีเพียงใบปริญญา แต่มีแฟ้มผลงาน ที่พิสูจน์ฝีมือและพร้อมทำงานในระดับสากลได้ทันที” 
ดร.พีรชัย กล่าว

โลกความจริงกับโลกเสมือนรวมกัน

ดร.พีรชัย กล่าวอีกว่า หลักสูตร Virtual Production and Immersive Experience Design ซึ่งได้รับการพัฒนาร่วมกันจากการทำงานเชิงรุกกับผู้ประกอบการ เพื่อตอบสนองต่อสัญญาณจากผู้นำในอุตสาหกรรม อย่าง Kantana และ Studio Park ที่ชี้ชัดว่าอนาคตของการผลิตภาพยนตร์ของไทยกำลังมุ่งสู่เทคโนโลยี  Virtual Production โดยเทคโนโลยีดังกล่าวจะก้าวข้ามขีดจำกัดของจอแบบเดิมๆ แต่เป็นการใช้จอ LED ขนาดยักษ์ร่วมกับ Game Engine เช่น Unreal Engine เพื่อสร้างฉากหลังที่สมจริงและโต้ตอบได้แบบเรียลไทม์ ทำให้นักแสดงมองเห็นและแสดงกับฉากนั้นได้โดยตรง

“เทคโนโลยี Virtual Production ช่วยให้การถ่ายทำมีข้อได้เปรียบจากการถ่ายทำแบบเดิม คือ สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมได้ 100%:  เช่น สร้างฉากพระอาทิตย์ตกดินและสั่งให้ตกใหม่ กี่ครั้งก็ได้ตามต้องการ เป็นการลดต้นทุนและเวลา เพราะไม่จำเป็นต้องยกกองถ่ายไปต่างประเทศ สามารถเปลี่ยนฉากหลังได้ทันทีในสตูดิโอ รวมถึงเป็นการแก้ปัญหาหน้ากองถ่ายแบบเรียลไทม์ ผู้กำกับสามารถเห็นภาพสุดท้ายได้ทันที และตัดสินใจปรับเปลี่ยนองค์ประกอบต่างๆ ได้ทันที  และสามารถการรักษาความลับของโปรเจกต์ เนื่องจากการถ่ายทำทั้งหมดเกิดขึ้นในสตูดิโอ ควบคุมการเข้าถึงและป้องกันข้อมูลรั่วไหลได้อย่างสมบูรณ์” ดร.พีรชัย กล่าว

ทั้งนี้ ความท้าทายที่สำคัญของเทคโนโลยี จะเป็นการสร้าง "กระบวนการทำงานแบบกลับหัว" (Inverted Workflow) ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด กระบวนการผลิตแบบดั้งเดิมทำงานในลำดับ 1-2-3-4  แต่ Virtual Production บีบให้กระบวนการกลายเป็น 4-3-2-1 โดยงานที่เคยอยู่ปลายน้ำ เช่น การสร้าง Digital Asset และวิชวลเอฟเฟกต์ ถูกย้ายมาอยู่ต้นน้ำก่อนการถ่ายทำจริง เป็นต้น

ผลิตบุคลากรครบทุกอุตสาหกรรม

นอกจากนั้น ทักษะด้าน Immersive Experience (การสร้างประสบการณ์เสมือนจริง) สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรมอื่นๆ  เช่น การแพทย์ อย่าง การจำลองการผ่าตัด, การศึกษาแบบห้องเรียนเสมือนจริง, การออกแบบงานสถาปัตยกรรมและผังเมือง) และการตลาด ประสบการณ์ทดลองสินค้าเสมือนจริง ดังนั้น เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการ หลักสูตรถูกแบ่งออกเป็น 3 สาขาวิชาเฉพาะทาง ได้แก่ 1. Virtual Production ผลิตบุคลากรสำหรับอุตสาหกรรมภาพยนตร์และซีรีส์โดยตรง 2. Immersive Experience Design สำหรับการสร้างสรรค์สื่ออินเทอร์แอคทีฟและประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ และ 3. Virtual Visualization ผลิตผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้าง Digital Asset ดร.พีรชัย กล่าว

สำหรับน้องๆ ที่สนใจ คณะดิจิทัลมีเดียและศิลปะภาพยนตร์ กำลังเปิดรับสมัครทุนการศึกษา "BUDC DNA" ซึ่งเป็นทุนของคณะโดยเฉพาะสำหรับทุกหลักสูตร นี่ไม่ใช่แค่การสอบคัดเลือก แต่เป็น "แคมป์สร้างสรรค์ที่มอบความรู้" ซึ่งไม่ว่าจะได้รับคัดเลือกหรือไม่ แต่จะได้รับความรู้และมุมมองใหม่ๆ กลับไปอย่างแน่นอน
ศาสตร์อาหารไทยสู่เวทีโลก 

เช่นเดียวกับ “หลักสูตร Culinary Arts and Restaurant Service Management” อีกหนึ่งหลักสูตรน้องใหม่ด้านอาหารไทยที่ “ม.กรุงเทพ” เลือกเส้นทางแตกต่าง โดยมีปรัชญาหลัก มุ่งยกระดับอาหารไทยสู่มาตรฐานสากล ผ่านการผสมผสานระหว่างรากเหง้าดั้งเดิมเข้ากับนวัตกรรมสมัยใหม่ เพิ่มมูลค่าและยกระดับการรับรู้ต่อวัตถุดิบท้องถิ่น สมุนไพรไทย ให้มีสถานะทัดเทียมกับวัตถุดิบชั้นสูงในวงการอาหารตะวันตก

ดร.ดารณี อาจหาญ ผู้อำนวยการหลักสูตร Culinary Arts and Restaurant Service Management กล่าวว่า หลักสูตรดังกล่าวเกิดจากความต้องการของเด็กรุ่นใหม่ ที่เขาอยากเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจอาหารที่ไม่ใช่เพียงทำอาหารเป็น แต่อยากศึกษาทุกเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจอาหาร และด้วยความพร้อมของไทยในการกำหนดให้เป็นครัวของโลก ม.กรุงเทพ มีความพร้อมในห้องปฎิบัติการครัวมาตรฐานจากหลักสูตรการโรงแรม มีอาจารย์ผู้สอน และมีผู้เชี่ยวชาญที่เราเชิญมาสอนที่มหาวิทยาลัยอยู่แล้ว จึงเปิดหลักสูตรดังกล่าว 

“หัวใจของหลักสูตรดังกล่าว ไม่ใช่การท่องจำสูตรอาหาร หรือเรียนรู้การทำอาหารแบบดั่งเดิม แต่เป็นการส่งเสริมให้นักศึกษามีความคิดสร้างสรรค์ และรู้จักการปรับประยุกต์ พวกเขาจะได้เรียนรู้ศาสตร์และเทคนิคการทำอาหารสมัยใหม่ เพื่อนำมาใช้กับวัตถุดิบไทย สมุนไพรไทย สร้างสรรค์เป็นเมนูใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นักศึกษาจะได้เรียนรู้เทคนิคการทำอาหาร ความคิดสร้างสรรค์ ควบคู่กับการเป็นผู้ประกอบการ ได้มีประสบการณ์การทำงานจากผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่แค่การผลิตเชฟ” ดร.ดารณี กล่าว

“นวัตกรอาหาร”ด้วยความคิดสร้างสรรค์

ดร.ดารณี กล่าวต่อว่าหลักสูตรนี้ เป็นการสร้างนวัตกรด้านอาหาร (Food Innovator) โดยเป็นหลักสูตรก้าวข้ามการสอนตามสูตรต้นตำรับ แต่ส่งเสริมการพลิกแพลงประยุกต์ใช้ศาสตร์และเทคนิคการทำอาหาร ผสานกับความคิดสร้างสรรค์ เพื่อพัฒนาเมนูใหม่ที่มีเอกลักษณ์และมูลค่าเพิ่ม อีกทั้งเป็นการยกระดับคุณค่าอาหารไทย เพราะเป้าหมายหลักจะเป็นการนำวัตถุดิบท้องถิ่น สมุนไพรไทยมาสร้างมูลค่าเพิ่ม ทำให้อาหารไทย ซึ่งได้รับยกย่องเป็นครัวโลก สามารถแข่งขันและทัดเทียมกับอาหารตะวันตกในตลาดสากล ทั้งในด้านรสชาติ การนำเสนอ และการกำหนดราคา 

ที่สำคัญ เป็นการสร้างผู้ประกอบการร้านอาหารที่เข้าใจโมเดลธุรกิจทั้งในไทยและนานาชาติ เพราะร้านอาหารในแต่ละประเทศ ไปจนถึงผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมบริโภคก็ล้วนมีความแตกต่างกัน  ตั้งแต่ร้านอาหารระดับ Fine Dining ไปจนถึงผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมบริโภคสำหรับตลาดอุตสาหกรรม
“ขณะนี้กำลังเปิดรับนักศึกษาที่สนใจจะเป็นเชฟหรือผู้ประกอบการร้านอาหาร ซึ่งหากใครที่ชื่นชอบ

รักในการทำอาหาร มีความคิดสร้างสรรค์ มีใจที่พร้อมจะเรียนรู้ทฤษฎีพื้นฐานที่เข้มข้น เพื่อนำความรู้เหล่านั้นไปต่อยอด ประยุกต์ใช้ให้เกิดสิ่งใหม่ ไม่ใช่แค่ทำตามคำสั่ง และพร้อมลงมือทำอย่างจริงจัง ตอนเรียนอาจจะเหนื่อย เพราะต้องฝึกปฎิบัติจากโจทย์จริงจากผู้ประกอบการตัวจริงเข้ามาเป็น "โค้ช" ไม่ใช่แค่วิทยากรรับเชิญ แต่เมื่อเทียบกับทักษะและประสบการณ์ที่ประเมินค่าไม่ได้”

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางสายอาหารหรือสายภาพยนตร์ กุญแจสำคัญสู่อนาคตที่ “ม.กรุงเทพ” ต้องการมอบให้คือการเป็น "นักสร้างสรรค์ที่มีหัวใจของผู้ประกอบการ" ฉะนั้น สิ่งที่มหาวิทยาลัยมองหาจากตัวคุณ ไม่ใช่ทักษะทางเทคนิคที่ติดตัวมา แต่คือ "ทัศนคติ" ที่พร้อมจะเติบโต