วันเสาร์ ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2568 03:50 น.

บันเทิง

“โอปอล สุชาตา” เปิดใจทั้งน้ำตา รู้สึกผิดเมื่อความสำเร็จมาพร้อมกับการโดดเดี่ยว!

วันศุกร์ ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2568, 08.11 น.

เปิดเบื้องหลังคว้ามงฟ้า โอปอล สุชาตา ที่หลายคนไม่เคยรู้ เคยร้องไห้หน้ากระจกนับครั้งไม่ถ้วน เล่าเคล็ดลับ Manifest ชีวิตจนได้ Miss World 2025 และปมในใจหลังคว้ามง เสียความสัมพันธ์แต่ไม่เสียความฝัน ในรายการ WOODY FM

Feeling ตอนนี้กับชีวิตเป็นยังไงบ้าง ?

โอปอ : ความจริงหนูยังรู้สึกเหมือนเดิมนะคะ เพราะด้วยความที่เราอยู่ในวงการนางงามแล้ว เราทำงานจริงจังมาตั้งแต่ตอนเริ่มต้นตั้งแต่ปีแรกค่ะ เลยรู้สึกว่ายังคงเป็นการทำงานเหมือนเดิม เพียงแค่ว่าทำงานกับองค์กรใหม่ ก็อาจจะมีหลาย ๆ อย่างที่เราต้องปรับแล้วเป็นระดับโลกด้วย ก็อาจจะมี work culture หลาย ๆ อย่างที่เราค่อนข้างชินกับการทำงานกับทีมในไทย พอไปโน้นแล้วก็ไม่ว่าจะเป็นในมุมที่แบบต้องดูแลตัวเองต้องจัดการทุกอย่างเอง หรือจะเป็นการทำงานกับต่างชาติแล้วแต่ละประเทศที่เราไปไม่เหมือนกันเลย ก็จะเป็นในเรื่องนั้นมากกว่าที่แบบเปลี่ยนไปคล้ายๆ culture shock

คำถามที่ทุกคนจะถามคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า และรู้สึกว่าทุกคนจะถามคุณตลอดไป คำถามนั้นคืออะไร ?

โอปอ : How are you doing? This is the reason why ค่ะ คือถ้าเกิดว่าหนูจะไปทุกที่แล้วทุกคนจะถามคำถามนี้ทุกที่ มันมีหลายมุมมาก หนึ่งคือเพราะเรารู้ว่าช่วงชีวิตนี้เราจะเจออะไรเยอะมาก อย่างน้อยการที่เขาถามคำถาม simple แบบว่า how you doing ค่ะ I could answer it in so many ways ที่เราอัปเดตว่าเป็นยังไงมาบ้างกับชีวิตนี้ คำถามนี้มันช่วยเราได้ด้วยนะคะ เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าแบบช่วงนี้แบบ I holding on ไม่ไหวแล้ว sometimes แค่คำถามว่าแบบ how you doing มันเหมือนแบบกำลังเจออะไรอยู่แล้วพอถาม  It's just simple as that จะตอบออกมาก็ได้ว่า ชีวิตมาแบบนี้ ๆ หรืออาจจะตอบแค่ว่าช่วงนี้ไม่ไหว I need someone to talk to แล้วมันเป็นคำถามที่ถามเมื่อไหร่ในชีวิตมัน Pull you up ได้ค่ะ แต่เป็นคำถามที่เราทุกคนควรจะถามกันทุกวัน

เชื่อว่าคำถามนี้เป็นคำถามที่มันเป็นการเช็กอุณหภูมิของตัวเราเองด้วย ?

โอปอ : ใช่ค่ะ I say it's okay เราต้องเปิดโอกาสให้คนแบบ honest กับความรู้สึกตัวเองมากขึ้น เพราะว่าย้อนไปตั้งแต่คำถามเลย โลกมันไปไวมาก รายการเสร็จ we always on to something จนบางทีเราไม่ได้แบบว่าคนรอบข้างว่าเขาโอเคไหม หรือแม้กระทั่งตัวเราเองโอเคไหม

ถ้าคุณต้องการใครสักคนที่จะคุยด้วยที่สามารถบอกได้เลยว่าตอนนี้รู้สึกยังไง มันมีหลายระดับและเรายังสามารถเจาะลึกลงไปได้อีกว่าเพราะอะไร แค่เพียงการที่ได้ฟังกันและกัน ก็ช่วยทำให้ความรู้สึกนั้นเบาลงได้แล้ว

โอปอ : ใช่ค่ะ เพราะเหมือนกับว่าคุณได้พูดมันออกมา

ตอนนี้อายุ 21 ใช่ไหม ?

 

โอปอ : ใช่ค่ะ

คุณผ่านอะไรมามากจริง ๆ กว่าจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้ มันสะท้อนให้เห็นถึงงานหนักที่คุณทำมาตลอดหลายปี ได้ค้นพบคุณค่าของตัวเอง แล้วสำหรับตลอดหลายปีที่ผ่านมามันเป็นอย่างไรบ้าง?

โอปอ : เป็นการเดินทางที่หนักหนาสาหัสจริง ๆ บอกตามตรงนะคะ เพิ่งรู้คุณค่าของตัวเอง รู้ว่าเรามีศักยภาพ รู้ว่าเรามี ศักยภาพและความหมายในชีวิต มันหายากมากนะคะ โอปอดีใจมากที่เรามาอยู่บนเส้นทางนี้ แล้วเจอ value part หนึ่งของชีวิต เหมือนที่เราพูดใน Homecoming Spech มันออกจากใจจริง ๆ ไม่มีอะไรที่จะพูดเลยนอกจากขอบคุณที่ให้โอกาสเราในการทำให้ชีวิตตัวเองมีคุณค่า เพราะว่าแค่อายุ 21 ยังมีอะไรอีกมากมายในชีวิตให้ได้เจอ เพิ่งใช้ชีวิตมาแค่นี้ แล้วก็ยังรู้สึกว่าอยากให้อายุไขมนุษย์มันนานกว่านี้ จะได้มีเวลาสร้างคุณค่าให้ตัวเองได้เยอะ ๆ  รู้สึก appreciate มาก เพราะว่าวันก่อนเพิ่งคุยกับพี่ที่รู้จัก แล้วเขาพูดกับเราว่า ดีใจแทนโอปอพอจังเลยที่ได้มายืนอยู่ตรงจุดที่ตัวเองอยากยืนด้วยระยะเวลาเพียงเท่านี้ เพราะว่าเราเคยคุยด้วยกันตอนนั้นก็คือไปแบบงานเปิดร้านของพี่ที่รู้จักแล้วเราก็นั่งคุยกับเขาแล้วอธิบายเพราะว่าปอวางแผนเราคุยกับเขาเลยว่า ตอนอายุเท่านี้ช่วงนี้เราจะเรียนแล้ว จะเบรกไปทำอันนี้เมื่อเราสำเร็จ รู้สึกว่าอันนี้จะเป็นพื้นฐานในการไปต่ออาชีพในฝันที่เราอยากเป็น ก็คือลิสต์ให้เขาเลยว่าเข้ามหาลัยถึงปีนี้ โอปอจะมาประกวดนางงามใหม่ จะไประดับโลก จะได้รับตำแหน่งไม่ได้ตำแหน่งแล้วก็กลับมา จะมาสานต่อเรื่องนี้ ๆ แล้วชีวิตโอปอรันแบบนั้น เป๊ะ ๆ เลย แล้วเขารู้สึกแบบว่าดีใจแทน ก็เลย realiz ว่า I'm so fortunate ที่เรามีโอกาสได้ทำในสิ่งที่รักแล้วก็อยากทำ แล้วชีวิตมันไปตามนั้นจริง ๆ แต่ว่าเราก็กลับมานั่งคิดว่า It's not just luck ก็ประเมินตัวเองเหมือนกันแล้วก็เป็นความโชคดีที่ประเมินชีวิตตัวเองได้ค่อนข้าง accurate so far

อยากจะขอแสดงความยินดี ที่คุณสามารถคว้ามงกุฎ Miss World ได้ในวัยเพียง 21 ปี ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ใครหลายคนใฝ่ฝัน รวมถึงพี่ด้วย

โอปอ : จริงหรือเปล่าคะ

ในวันนั้นในชีวิต เราไม่ได้คิดถึงเรื่องเพศหรือมุมมองอะไรเลยแค่มองว่ามันช่างงดงาม มันคือการเฉลิมฉลองของชีวิต ทุกคนต่างใฝ่ฝันถึงสิ่งนั้นและคุณก็ทำมันสำเร็จได้ตั้งแต่อายุเพียง 21 ปี

โอปอ: มันช่างเหลือเชื่อจริง ๆ ที่อยู่ใน position นี้ค่ะ คุณไม่รู้หรอกว่าฉันร้องไห้หน้ากระจกมากี่ครั้งแล้ว เพราะต้องแกล้งทำเป็นว่าฉันชนะ ร้องไห้ทุกครั้งที่เล่นแบบนั้นแบบว่าทุกครั้งที่เราเทรนเสร็จทุกครั้งที่เราอ่านหนังสือเสร็จ ทุกครั้งที่เตรียมตัวเสร็จก่อนนอนทุกครั้ง I can't help myself กระโดดออกมาจากเตียงแล้วก็ไปยืนหน้ากระจกแล้วก็เปิด soundtrack ที่เขาจะเปิดเวลาเขาจะ announce ค่ะ แล้วพอมันถึงพีคของ soundtrack ก็จะแบบ imagine ว่าเขาพูดชื่อไทยแล้ว แต่บางที It gets so serious เพราะว่าเราแบบอินมาก ๆ กับสิ่งนี้ แล้วเรามันพอย้อนกลับไปมันทำให้เห็นว่า I really wanted this

ทำแบบนี้นานขนาดไหน ?

โอปอ : ตั้งแต่ even before เข้าวงการอีกมั้งคะ เพราะว่าเราก็เห็นรุ่นพี่เขามีโมเมนต์ของเขามาเหมือนกัน Just like when you saw พี่ปุ๋ย แล้วทำทุกครั้งกลับมาจากโรงเรียน แต่มันแค่บ่อยขึ้น ตอนช่วงที่เราได้อยู่ในเส้นทางนี้จริง ๆ เพราะว่าเราไม่ได้เห็นแค่ว่าแบบชนะแล้วก็ no มันคือคุณเห็นเส้นทางก่อนที่ยูจะชนะด้วยแล้ว เห็นว่ามันเหนื่อยแค่ไหนแล้วมันแบบ rewarding มัน deserving แค่ไหน ก็เลยมีน้ำตาแห่งความภาคภูมิใจแบบออกมา Manifestation

แปลว่าคุณได้มโนภาพ ตั้งใจสร้างมันมาตลอดเลยใช่ไหม ?

โอปอ : ใช่ค่ะ

คุณได้ใช้ชีวิตเป็นตัวเองอย่างแท้จริงในทุกวันนี้ Manifestation คืออะไร ?

โอปอ : ตอนที่โอปอรู้จักกับคำนี้ครั้งแรก ก็คิดเหมือนกันว่าจะเวิร์คเหรอ จะทำได้เหรอ เอาง่ายๆเลยหรือแม้กระทั่งสวดมนต์ โอปอเป็นชาวพุทธ แล้วเราก็เข้าวัดแล้วก็สวดมนต์ แต่ว่าอันนั้นมันก็ปล่อยให้ไปในเรื่องของความเชื่อ แต่สิ่งหนึ่งที่โอปอจับจุดได้เหมือนกันระหว่างสวดมนต์กับ manifestation เราไม่รู้หรอกว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่พาเราไปอยู่ตรงจุดนั้น มันเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น หรือว่ามันเป็นพลัง หรือว่ามันเป็นโชคดี หรือเป็นอะไรก็แล้วแต่ แต่โอปอรู้ว่าทุกๆครั้งที่ manifest แล้วทุกครั้งที่เราสวดมนต์ แล้วขอพรว่าอยากได้อะไร That's a reminder ว่าขอเสร็จแล้ว ลุกไปทำอะไร You manifest นั่งอยู่หรือแบบฝันเห็นตัวเอง แต่ว่าพอวาดฝันนั้นเสร็จแล้ว ก็จะมานั่งคิดกับตัวเองว่าเราต้องทำยังไง ให้ไปอยู่ตรงนั้น ต้องใช้ชีวิตยังไงให้ไปอยู่ตรงนั้น มันเป็นการเตือนตัวเองว่า you can't just sit around ขออย่างเดียว คุณต้องรู้ด้วยว่าจะไปทำอะไรต่อ

สิ่งที่ต้องแลกมากับการมาถึงจุดนี้คือเรื่องเวลา คุณจัดการเวลาให้กับเพื่อน ๆ และคนรอบข้างที่คุณรักยังไง ?

โอปอ : คิดว่าไม่เก่งเรื่องนี้เลย แย่มากจริง ๆ รู้สึกว่าห่างไกลค่ะ แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองคิดไปเองไหมหรือว่าเพื่อนก็คิดเหมือนกัน แต่รู้สึกว่าเราไม่ดีพอกับการให้เวลาแล้วก็ความสนใจกับคนรอบข้าง แล้วก็บางครั้งก็รู้สึกว่าเหมือนต้องโทษตัวเองว่าเราโฟกัสกับสิ่งที่ชีวิตอยากจะทำมากเกินไปหรือเปล่า และก็มักจะบอกกับผู้คนอยู่เสมอว่า คุณต้องรู้จักขอบคุณในสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิต เพราะว่าฉันก็มีเพื่อนบางคนที่บอกว่าอยากจะเป็นอยากจะเป็นแบบโน้นนี่นั่นแล้วก็ work hard เราไปบอกเขา แต่ว่าเราต้องดูด้วยนะว่าระหว่างทางถ้าเกิดว่าเราเอาแต่ทำงานแล้วมันขาดการใช้ชีวิตไป แล้วยูไม่ได้รู้จักเห็นคุณค่าแม้กระทั่งดอกไม้เล็ก ๆ ที่เห็นระหว่างทางที่มันเติบโตตามธรรมชาติ ตอนนี้คือแล้วฉันจะมีสิทธิ์อะไรไปพูดแบบนั้น รู้สึกอายมากที่ไปบอกเขาแบบนั้น เพราะว่าเราเป็นแบบนั้น คือหนูทำงานตั้งแต่ 18 ใช่ไหมคะ ซึ่งรู้สึกว่าบางอย่างที่รู้สึกตอนนี้ มันก็ไม่ได้ใหญ่มากเทียบกับหลาย ๆ คนที่เขาก็จะต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเองอายุน้อยกว่าปออีก แต่มันเป็นสิ่งที่เรา value เหมือนกัน เราบ้างานตั้งแต่อายุ 18 เลิกเรียนแล้วเพื่อนไปคาราโอเกะ เราเลือกที่จะไปทำงานแล้วก็ไม่ได้สร้าง relationhip กับเพื่อนหรือใครที่เรา consider ว่าเพื่อน แต่สิ่งที่โอปอรู้สึกว่าทำพลาดคือ relationhip ที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ เราไม่ได้ตั้งใจรักษามันไว้  คือตอนนี้ก็ยังเป็นเพื่อนกันแต่รู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่ในแบบไซเคิลของเขา ไม่รู้ว่าตอนนี้เพื่อนเป็นยังไง แล้วเพื่อนก็ไม่กล้าทักมาหา เราก็รู้สึกห่างกับเพื่อนไป เคยถามเพื่อนว่าเรายังเหมือนเดิมกันไหม เพราะรู้สึกเหมือนไม่ได้เจอเพื่อนเลยเราห่างเพื่อนมาก เราอาจจะไม่ได้สนิทกันเหมือนเดิมหรือเปล่า เพื่อนบอกมาว่าพวกเขารู้หมดว่าเกิดอะไรขึ้นในชีวิตเรา  We know what's going on แต่ว่าเลือกที่จะไม่ interfere เพราะกลัวว่าเขาจะมาขัดกับการเติบโตของเรา  (น้ำตาไหล)

คิดถึงอะไรอยู่ ?

โอปอ : เพราะว่าวันก่อนเพื่อนทักมาถามว่าอยู่ไหน โอปอบอกว่าอยู่อังกฤษกำลังจะกลับไทยแล้วเขาก็บอกว่าจะกลับไทยเหมือนกันเผื่อได้นัดกัน แล้วเพื่อนเขาก็พูดมาคำหนึ่งว่าไม่กล้าทักไป เพราะว่าไม่อยากรบกวน รู้สึกว่าเราเป็นเพื่อนภาษาอะไร เพื่อนถึงไม่กล้าทักมา อยากให้ทักค่ะ เพราะว่าคือก็เป็นเพื่อนกัน แต่ว่าในขณะเดียวกันอีกใจหนึ่งก็รู้ว่าถึงให้เพื่อนทักมาชวนเราก็ไม่ว่างไป เราไม่อยากปฏิเสธเพื่อนแต่ว่าในขณะเดียวกันรู้สึกว่าเราเป็น bad friend ไม่มีคุณสมบัติเพื่อนที่รู้สึกว่าเขาสามารถทักมาได้

เคยกำหนดวันเพื่อนหรือยัง แบบเดือนละครั้งหรือสองเดือนครั้ง ?

โอปอ : ไม่เคยเลยค่ะ ใช่อันนี้เป็นสิ่งที่หนูรู้สึกว่าทำพลาด เพราะว่าไม่สามารถที่จะ balance เรื่องงานกับชีวิตส่วนตัวได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าเราทุ่มเทและเต็มไปด้วยแพสชั่นทั้งกับชีวิตและสิ่งที่ทำอยู่กลัวว่าเราจะไม่สามารถที่จะยืนด้วยตัวเองได้ หรือว่าดูแลครอบครัวได้ ดูแลคุณพ่อคุณแม่ได้ มันเลยทำให้เราทำงานๆ แล้วเลือกที่จะงาน over สิ่งเหล่านี้ เพราะรู้สึกว่ามันไม่สำคัญ รู้สึกว่ามันมีอยู่ตรงนั้นตลอด ตอนแรกคือโอปอรู้สึกว่าจะไม่ทำตรงนี้แล้ว เพราะรู้สึกว่าค่อนข้างที่จะเจ็บเยอะ แล้วก็บางครั้งก็นั่งถามตัวเองว่าทำไมต้องมาเจออะไรที่มันบั่นทอน แทนที่เราจะไปทำอย่างอื่นอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ของตัวเอง

หมายถึงว่าช่วงนี้ก่อนหน้านี้ ?

โอปอ : ช่วงก่อนหน้านี้ค่ะ แล้วรู้สึกว่าเข้าใจนะว่าอยากทำความฝันตรงนี้ให้เป็นจริง แต่มัน is it worth it ที่จะเสียสภาพจิตใจหรือว่าเหนื่อย หรือว่าทำอะไรกับตรงนี้ จนได้มาทำจริง ๆ รู้สึกว่ามันคุ้มที่จะแลก ย้อนกลับไปก็ภูมิใจในตัวเอง สุดท้ายแล้วคือเราเรียนรู้จากทุก ๆ อย่าง ถ้าให้ย้อนกลับไปได้ก็คงทำเหมือนเดิมอยู่ดี ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสตรงนี้ ถ้าเราไม่ได้เลือกเส้นทางนี้ก็คงใช้เวลาอีกเยอะมากในชีวิตแล้วก็เสียหลาย ๆ อย่างที่เราอยากจะทำ เพราะว่าเรารู้ตัวตั้งแต่เด็กว่าเป็นคนอยากทำหลาย ๆ อย่างในชีวิต รู้สึกว่าอันนี้เป็นอีกหนึ่ง factor ที่ทำให้เรารู้สึกมีคุณค่ากับการเกิดมาในครั้งนี้ ถ้าไม่ได้ทำรู้สึกว่าเสียดายชีวิต ถ้าชีวิตนี้ไม่ทำอันนี้แล้ววันหนึ่งเราหายไปจากโลกนี้เสียดาย ถ้าเป็นคนอื่นคงด่าว่าเสียโควต้าการเกิด

สามารถติดตาม Woody FM ได้ที่ช่องทาง Podcast : WOODY FM , Facebook: Woody, Youtube: Woody ทุกวันพุธ เวลา 18.00 น.

 

คลิกชมย้อนหลัง :  https://www.youtube.com/watch?v=oxDdo68knoQ

 

หน้าแรก » บันเทิง

ข่าวในหมวดบันเทิง