วันพฤหัสบดี ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2568, 12.47 น.
เปิดหมดเปลือก “บอย พิษณุ” ชีวิต 20 ปีในวงการบันเทิงไม่เคยง่าย เล่าทุกจุดเปลี่ยนในชีวิต จาก AF สู่นักสู้ที่ไม่ยอมแพ้แม้เจอวิกฤตทุกด้าน การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง การอดทนผ่านความท้าทาย ครั้งหนึ่งเคยคิดจบชีวิต จากวิกฤตการเงิน ชีวิตครอบครัวหลังแยกทาง และการดูแลลูกร่วมกัน ไปจนถึงการปรับตัวในยุคปัจจุบัน ในรายการ WOODY FM
คุณอยู่ในวงการบันเทิงมานานเท่าไรแล้ว ?
บอย พิษณุ : เยอะมากปีนี้ผมเข้าวงการมา 20 ปีแล้ว ตั้งแต่เป็น AF เร็วมาก
การยอมรับความจริงการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมชาติ ในวันที่คุณมองว่าไม่รู้จะไปต่อยังไง ?
บอย พิษณุ : เราอยู่ในวงการบันเทิงมา 20 ปี ได้เห็นตั้งแต่ยุคแรกๆ ในการที่ผู้จัดละครผลิตละครกันปีหนึ่งไม่รู้กี่ 20-30 เรื่อง แล้วก็อยู่ในยุคหนึ่งที่รายการ Reality Show มันมาดังในยุคนั้น ก็จะผ่านมาเรื่อยๆ แล้วทุกอย่างเหมือนแพลตฟอร์มเริ่มเปลี่ยนไป ละครสปอนเซอร์เริ่มน้อยลง เริ่มไม่ผลิต ไม่รู้ว่าผลิตไปแล้วได้อะไร แพลตฟอร์มอื่นขึ้นมา มี Netflix มีแอปพลิเคชันต่างๆ แล้วเราจะทำยังไงให้ไปอยู่ตรงนั้นได้ เพราะเราไม่สามารถที่จะเลือกเขาได้ ผมก็ผ่านยุคพวกนั้นมา แล้วก็เคยมีความรู้สึกว่าเราต้องทำ ต้องทำจริงๆ เพราะว่า ถ้าอยู่กับที่ก็จะถูกกลืนไปกับแพลตฟอร์มใหม่ๆ ที่มันผุดขึ้นมาทุกวันเลย ก็เริ่มมาทำ YouTube เพราะว่ารายได้ไม่มีจากการที่ติดโควิดพอดี ช่วงนั้นดาราคือรายได้เป็นศูนย์ รู้สึกว่ามันอยู่ไม่ได้นะเพราะว่าเรายังมีภาระมีครอบครัวที่ต้องดูแล แล้วพอทำมาสักพัก Youtube ก็เริ่มดาวน์อีกแล้ว ผมต้องไปทางไหน Tiktok ก็ไม่ได้เริ่มเล่นตั้งแต่แรก เพิ่งมาเล่นช่วงปลาย คิดว่าตอนนั้นทำไมชีวิตเราต้องมีอะไรเยอะแยะไปหมดเลย Facebook ก็ต้องมี IG ก็ต้องทำ YouTube ก็ต้องทำ TikTok มาอีกเหรอ ตามไม่ทัน จนสุดท้ายเราก็ต้องมาจบที่ลองเล่น TikTok ดูว่ามันจะทำยังไง เพราะว่า TikTok มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เด็กรุ่นใหม่รู้จักเรามากที่สุด เราก็ต้องทำไม่งั้นก็เหมือนย่ำอยู่กับที่ มันคือชีวิตของผม ไม่อยากให้ชีวิตที่เกิดขึ้นมาแล้วมันต้องหายไป
.jpg)
Mindset ที่เดินหน้าคือยังไง ?
บอย พิษณุ : ตอนนั้นยังรู้สึกว่าผมไม่แย่เหมือนครั้งล่าสุดนี้นะ ตอนนั้นแค่มีความรู้สึกว่าทุกคนเป็นเหมือนกันหมด ทุกคนเจอคลื่นลูกยักษ์ ซึ่งเป็นคลื่นเกี่ยวกับโรคอันตราย ทุกคนโดนเหมือนกันหมด แต่เผอิญเราแค่มีความรู้สึกว่าช่วงนั้นโชคดีของชีวิตที่เราลองที่จะเปลี่ยนลงมาทำ YouTube ลองที่จะเปลี่ยนหาทำอะไรใหม่ๆ เพราะว่าถ้าเราอยู่เฉยๆ มันไม่ได้จริงๆ มันอยู่ที่จังหวะอย่างเช่นแบบทีมผมที่เป็นพาร์ทเนอร์ทำ YouTube ด้วย เขาเข้ามาในจังหวะที่ดีพอดี เพราะอยากทำมานานแล้ว แต่การลงตัวที่จะทำมันอยู่ตรงไหน เพราะผมไม่ได้เป็นคนที่พูดเก่งขนาดนั้น สิ่งที่ทำให้ตัดสิ้นใจง่ายคือเรามีทีมงานที่ดี ตอนนั้นก็มั่นใจมากขึ้น ผมมีตัวตนมากขึ้น เพราะว่าจริงๆ แล้วมันเริ่มอยู่เข้ายุคในแพลตฟอร์มแล้ว ทีวีก็เริ่มอาจจะเริ่มดาวน์ลงมา คนก็ไม่ค่อยดูทีวีแล้ว คนเปลี่ยนจากดูทีวีเป็นเปิด YouTube แทนเวลาไหนก็ได้เข้ามาในจังหวะที่ดี แล้วเราก็เลยโดดลงมาทำ
แล้วพอจาก YouTube ไป TikTok
บอย พิษณุ : จาก TikTok เป็นช่วงหลังเลยครับ เพราะว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาของผม ปีที่แล้วกับปีนี้ มันเริ่มดาวน์เรื่อยเลยในเรื่องงานในวงการบันเทิง เพราะละครไม่จัด ทุกอย่างมันลงๆ
ตัดสินใจไลฟ์ TikTok แต่ทุกอย่างมันก็หนัก ?
บอย พิษณุ : มันหนักมาก เพราะว่าผมเป็นหัวหน้าครอบครัวไง แล้วการใช้เงินเก่าเงินเก็บ มันไม่ใช่สัญญาณที่ดี เรามีลูกด้วย แล้วมันก็ควรจะใช้ที่ปัจจุบันเราหางานหาเงินได้ใช้ตรงนั้นไป เงินเก็บก็ควรจะเป็นเงินเก็บ แต่เผอิญมันไม่เป็นเงินเก็บอีกต่อไป มันก็เลยยิ่งเครียดไปกันใหญ่ ก็ต้องหาอะไรทำเพื่อให้เรามีรายได้ขึ้นมา เพื่อเลี้ยงครอบครัวได้ แล้วก็ไปเจอเรื่องแย่ๆไม่ดีอีก แทนที่จะดี มันก็เฟลอีกเรื่องธุรกิจ หลายอย่างประเดประดังเข้ามาพร้อมกัน ก็เลยเป็นสิ่งที่เราต้องหาอะไรใหม่ๆทำ เราจะได้ไม่หาย และเรายังต้องแข็งแรง ต้องสู้ ผมไม่รู้หรอกว่ามันจะได้อีกนานแค่ไหน หรืออาจจะอีกไม่นาน แต่อย่างน้อยๆเราได้ทำก็โอเค
การที่ยอมปรับเปลี่ยนไป ยอมเริ่มต้นใหม่ มันทำให้เราได้เห็นอะไรในตัวเองบ้างจากอดีต แล้วปัจจุบันที่มันต่างกัน Mindset ที่เปลี่ยนไป ?
บอย พิษณุ : ไม่มีอะไรที่มันเป็นอมตะ มันไม่มีอะไรที่มันแบบคงอยู่อย่างนั้นและคงอยู่ตลอดไป มันมีช่วงกราฟของชีวิต มันมีขึ้นแล้วมันมีลงเสมอ แต่จริงๆผมโชคดีตรงที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นดารา กว่าเราจะประสบความสำเร็จได้เกือบ 28 แล้ว ผมผ่านอะไรมาเยอะมาก พอมาอยู่ตรงนี้เหมือนโอกาสที่เราได้มากกว่า โอกาสที่เราอยากเป็นมาทั้งชีวิต จริงๆผมอยู่ยังไง ทำอะไรก็ได้ที่มันไม่ได้ไปทำให้คนอื่นเดือดร้อน
.jpg)
สิ่งที่บอยยังอยากทำคืออะไรครับ ?
บอย พิษณุ : จริงๆ ผมอยากยืนอยู่ตรงนี้ไปเรื่อยๆ วันหนึ่งอยากเป็นแบบ อาหนิง นิรุตติ์ ที่เป็นคนคุณภาพ เล่นละครได้ดี แล้วก็ใช้ชีวิตได้ดี แต่ยุคนี้เริ่มยากละ ผมก็ต้องดูว่าจุดไหนมุมไหนที่อยู่กับเราได้ แล้วเราก็เอาตัวเราไปอยู่ตรงนั้น
ทำไมอยากเป็นอย่างนั้น แล้วได้อะไรจากการเป็นแบบนั้น ?
บอย พิษณุ : สิ่งหนึ่งที่ผมจะได้เลยก็คือ ได้ทำอาชีพที่ผมรักที่สุดในชีวิต สิ่งที่ผมได้มา แล้วคิดว่าการได้ทำอะไรที่มันมีความสุขมากที่สุดในชีวิตแล้ว มันมีแรงที่จะใช้ชีวิตต่อไปเรื่อยๆ กับสิ่งที่เรารัก
เมื่อได้สิ่งนั้นชีวิตจะเป็นยังไง ?
บอย พิษณุ : มันก็อาจจะต้องลำบากหน่อย ตรงที่ว่าแบบมันไปแล้วเหรอ ในสิ่งที่เราแบบอยากได้มาทั้งชีวิตกับอาชีพนี้ แล้วมันจะต้องหายไปแล้วเหรอ มันก็คงรู้สึกไม่ดี ชีวิตเรากำลังจะหายไปเหรอ
“คุณค่า” ถ้าพูดถึงคำนี้ในตัวคุณเอง ที่คิดว่ามันเป็นตัวคุณ คำแรกที่ขึ้นมาในหัวคือ ?
บอย พิษณุ : เป็นคนสู้
ทำไมถึงให้คุณค่ากับคำนี้ "สู้"
บอย พิษณุ : คือตัวผม อยู่ในครอบครัวที่ไม่ค่อยสมบูรณ์แบบมากนักตั้งแต่เด็ก คุณพ่อเสียชีวิต คุณแม่ก็ต้องมาหางานใหม่แล้วต้องอยู่กับคุณอา ย้ายบ้านไปเรื่อยๆ ไปเรียนหนังสือเรียนเสร็จแล้วก็ มันเหมือนความอบอุ่นมันหาย แล้วก็ตัวผมเองออกมาทำงานเองตั้งแต่ อายุจบ ปวช. ผมก็กระโดดลงมาทำงานเองเลย แล้วก็สู้ด้วยตัวเอง ผมว่าไอ้สิ่งที่ผมสู้ วันนั้นมันเลยทำให้ผมมีวันนี้ นี่คือคำว่าสู้

มีความเหนื่อยไหมในคำว่าสู้
บอย พิษณุ : ผมเคยเหนื่อยครับ แต่สิ่งที่เหนื่อย มันผมว่าทุกคนมันเป็นที่จะเหนื่อย มันเหนื่อยได้แต่เราหยุด หยุดไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่ถ้าเราไม่สู้ แล้วใครจะสู้ให้เรา ในเมื่อตัวเรายังไม่สู้เลย ต้องทำยังไงถึงจะให้ไปสู่จุดนั้นได้ ก็เลยต้องสู้มาตลอด
ถ้าคุณกำลังมองตัวเองอยู่ แล้วจะให้กำลังใจตัวเอง จะบอกว่า ?
บอย พิษณุ : ผมเคยคิดอยู่ในความคิดบอยนะ ตอนที่บอยยังไม่มีลูก ผมมาไกลมาก ถ้าบอกจริงๆ ก็คือหาทางกลับบ้านไม่ถูกแล้ว เพราะมันไกลมากจริงๆ แต่แค่ยังไม่ลืมเส้นทางที่เราผ่านมาทั้งตลอดเวลา ไม่เคยลืม แล้วเรามีความรู้สึกว่าชีวิตได้อะไรมาหมดแล้วกับกับอาชีพ กับสิ่งที่วงการนี้มันให้เรามา ผมเคยคิดว่าไม่อยากอยู่ต่อแล้ว ผมจบแค่นี้ก็ได้นะชีวิต มันคงไม่ไปไกลกว่านี้แล้ว ได้ทำทุกอย่างหมดแล้ว ได้ตอบสนองสิ่งที่เราอยากทำมาทั้งชีวิตหมดแล้ว เคยคิดว่าไม่อยู่ก็ได้ แต่พอมีลูกมันก็ความคิดเริ่มเปลี่ยนไป ห้ามเจ็บ ห้ามป่วย ห้ามตาย มีสิ่งที่ต้องดูแลเขา
คุณมองเห็นยังไงกับค่านิยมของการที่ต้องมีสถาบันครอบครัว ยังจำเป็นมากในยุคนี้ไหม ?
บอย พิษณุ : พี่วู้ดดี้กำลังถามคนที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตครอบครัว
อะไรบอกว่าไม่ประสบความสำเร็จ ?
บอย พิษณุ : คือพอมาถึงวันหนึ่ง แล้วเราคุยกันแล้วมันไปต่อกันไม่ได้ ผมว่าสิ่งนี้มันคือสิ่งที่เราไม่ประสบความสำเร็จ เพราะสิ่งที่ผมคิด คาดหวังที่สุดคือการมีครอบครัวที่อบอุ่น มีภรรยา มีลูก เป็นครอบครัวเดียวกัน อยู่ด้วยกัน มีความสุขกัน สุดท้ายเป็นเรื่องของ 2 คนที่ต้องจูนกัน แต่โลกใบนี้อาจจเปลี่ยนไปแล้ว บางทีการอยู่คนเดียวอาจจะมีความสุขมากกว่า หรือการไม่จำเป็นต้องผูกมัดกัน ไม่ต้องมาจดทะเบียนสมรสกันก็อาจจะมีความสุขมากกว่า ความสุขของคนมันไม่เหมือนกัน

เวลาที่จะสื่อสารกับลูกเรา จะสื่อสารยังไงให้เขาเข้าใจ ?
บอย พิษณุ : ตรงนี้ผมต้องยกการตัดสินใจนี้ให้ภรรยา เขาเป็นคนค่อนข้างมีตรรกะเยอะในเรื่องของการเลี้ยงลูกในการใช้ชีวิตอะไร เราพูดคุยกันแล้วเขาบอกว่าสิ่งหนึ่งที่มันจะดีกว่า ลูกจะไม่เห็นพ่อแม่ที่กำลังมีปัญหากัน เขาจะไม่เห็นส่วนนั้น เขาจะเห็นแค่ว่าโอเคเราอาจจะแยกกันอยู่ แล้วเรายังคุยกันได้ แต่เราก็ยังมีฐานะพ่อแม่เหมือนเดิม เขาจะไม่ได้รับพลังงานที่ทะเลาะกัน ถ้าลูกไม่เห็นมุมนี้น่าจะโอเคมากกว่า เพราะว่าเขาก็ไม่อยากให้ลูกโตไปเห็นความรักแบบผิดๆ ซึ่งอาจจะทำให้เขาเดินอนาคตไปแบบผิดๆ ก็ได้ เราก็แยกกันอยู่แล้วก็ทำหน้าที่พ่อแม่ให้ดีที่สุด ลูกต้องเป็นเด็กที่มีความสุขที่สุด
สามารถติดตาม Woody FM ได้ที่ช่องทาง Podcast : WOODY FM , Facebook: Woody, Youtube: Woody ทุกวันพุธ เวลา 18.00 น.
คลิกชมย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=Akcf9XW6iG4&t=8s
.jpg)