วันพฤหัสบดี ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2568, 14.34 น.
เอ็นไอเอเผยผลการจัดอันดับนวัตกรรมโลกชี้ให้เห็น "เป้าหมาย" และ "ความท้าทาย" ใหม่ ที่ประเทศไทยต้องผลักดัน
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดกิจกรรม Global Innovation Forum 2025 ภายใต้หัวข้อ “Global Health Tech towards Innovation Nation...เฮลท์เทคไทยมองไกลกว่าสุขภาพ” เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้และมุมมองระดับโลกที่จะร่วมกันผลักดันนวัตกรรมไทยสู่อนาคต โดยภายในงานมีการนำเสนอ 3 ประเด็นหลัก คือ 1. ดัชนีนวัตกรรมโลก (Global Innovation Index; GII) ประจำปี 2568 และก้าวต่อไปของนวัตกรรมไทย 2. แนวโน้มกระแสการเปลี่ยนแปลงระดับโลกทางด้านเฮลท์เทค (Global Mega Trend in Health Tech) และ 3. โอกาสและความท้าทายของธุรกิจนวัตกรรมทางด้านเฮลท์เทคในระดับโลก (Global Challenge & Opportunity for Health Tech Inovative Business)

.
ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ NIA กล่าวว่า ผลการจัดอันดับดัชนีนวัตกรรมโลก (GII 2025) ภายใต้หัวข้อ ‘Innovation at a Crossroads: Charting the Future นวัตกรรมบนจุดเปลี่ยน – การกำหนดทิศทางสู่อนาคต’ ชี้ให้เห็นว่านวัตกรรมกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของระบบเศรษฐกิจโลก ท่ามกลางความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจ
ซบเซา จากการชะลอตัวของอัตราการเติบโตของบรรษัทข้ามชาติรายใหญ่ รวมถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและภูมิทัศน์
ด้านกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งสะท้อนให้เห็นแนวโน้มของโลกที่กำลังขับเคลื่อนนวัตกรรมท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคม และอนาคตของนวัตกรรมจะขึ้นอยู่กับการลงทุนที่ยั่งยืน ความร่วมมือข้ามพรมแดน และการสร้างระบบนิเวศที่เปิดกว้าง เพื่อให้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสามารถเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้างอย่างแท้จริง โดยปีนี้มีตัวชี้วัดทั้งสิ้น 78 ตัวชี้วัด แบ่งเป็นดัชนีย่อย 2 ด้าน คือ 1. ดัชนีย่อยปัจจัยนำเข้าทางนวัตกรรม (Innovation input sub-index) ประกอบด้วย 5 ปัจจัย ได้แก่ ด้านสถาบัน ด้านทุนมนุษย์และการวิจัย ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านระบบตลาด และด้านระบบธุรกิจและ 2. ดัชนีย่อยผลผลิตทางนวัตกรรม (Innovation output sub-index) ประกอบด้วย 2 ปัจจัย ได้แก่ ผลผลิตจากองค์ความรู้และเทคโนโลยี และผลผลิตจากความคิดสร้างสรรค์ โดยจะคำนวณจากค่าเฉลี่ยของดัชนีย่อยปัจจัยเข้าทางนวัตกรรมและดัชนีย่อยผลผลิตทางนวัตกรรม
“สำหรับผลการจัดอันดับในปีนี้ ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 45 (36.7 คะแนน) จากประเทศเศรษฐกิจทั่วโลก 139 ประเทศ ลดลง 4 อันดับจากปีก่อนหน้า โดยปัจจัยนำเข้าทางนวัตกรรมและปัจจัยย่อยผลผลิตทางนวัตกรรมขยับลดลงเช่นเดียวกันอยู่อันดับ
ที่ 46 และอันดับที่ 43 ตามลำดับ โดยประสิทธิภาพของปัจจัยนำเข้าทางนวัตกรรมที่สามารถสร้างผลผลิตทางนวัตกรรมได้มีค่าอันดับใกล้เคียงกัน แม้ว่าผลผลิตทางนวัตกรรมได้มากกว่าปัจจัยนำเข้าที่ใส่ลงไปเพื่อพัฒนาความสามารถด้านนวัตกรรม เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบในกลุ่มประเทศกลุ่มรายได้ปานกลางระดับบน ประเทศไทยอยู่อันดับ 4 จากจำนวน 36 ประเทศ และอยู่อันดับที่ 4 ในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยสิงคโปร์ครองอันดับที่ 5 ของโลก มาเลเซียอันดับที่ 34 เวียดนามอันดับที่ 44 ขณะที่ฟิลิปปินส์ อันดับที่ 50 และตามมาด้วยอินโดนีเซีย อันดับที่ 55”

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากการจัดอันดับรวมทั้ง 7 ปัจจัย ประเทศไทยมีอันดับลดลงเกือบทุกปัจจัย ยกเว้นปัจจัยด้านทุนมนุษย์และการวิจัย (Human Capital and Research) อยู่อันดับที่ 53 (เดิมอันดับ 71) โดยปัจจัยย่อยด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) อยู่อันดับที่ 36 (เดิมอันดับ 47) ขณะที่ปัจจัยที่อันดับลดลงมากที่สุดคือปัจจัยด้านด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) อยู่อันดับที่ 59 (เดิมอันดับ 50) แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยด้านระบบตลาด (Market sophistication) ประเทศไทยยังมีอันดับที่ดี สะท้อนความสามารถในการเข้าถึงเงินทุน การขยายตลาด และการสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจนวัตกรรม รวมถึงปัจจัยตัวชี้วัดจุดแข็งจุดอ่อนของประเทศยังทำคะแนนได้ดีในหลายตัว เช่น สัดส่วนค่าใช้จ่ายมวลรวมภายในประเทศสำหรับการวิจัยและพัฒนาที่ลงทุนโดยองค์กรธุรกิจต่างๆ (GERD financed by business) ยังคงอยู่อันดับที่ 1 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 สะท้อนให้เห็นการลงทุนของภาคเอกชนภายในประเทศยังมุ่งมั่นเพิ่มขีดความสามารถด้านนวัตกรรมในการดำเนินธุรกิจด้วยการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง จำนวนของสิทธิบัตรอนุสิทธิบัตรที่ยื่นขอหรือจดทะเบียนอยู่อันดับที่ 5 แสดงให้เห็นถึงการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เน้นการใช้งานจริงในภาคอุตสาหกรรม
“จากผลการจัดอันดับ GII 2025 นี้ NIA เชื่อมั่นว่านวัตกรรมไทยยังมีโอกาสในการก้าวต่อไป โดยหัวใจสำคัญอยู่ที่การเร่งสร้างผู้ประกอบการฐานนวัตกรรมที่พร้อมแข่งขันในตลาดโลก จากจุดเด่นปัจจัยย่อยด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระบบนิเวศนวัตกรรมฝั่งอุปทานที่ต้องต่อยอดให้เกิดการใช้ประโยชน์ เพื่อให้เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และผลักดันการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรมอย่างยั่งยืน ซึ่งสิ่งสำคัญคือการเชื่อมโยงไปสู่ฝั่งอุปสงค์ เพื่อให้เกิดการเติบโตและการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างระบบนิเวศการลงทุนที่เข้มแข็งเพื่อเร่งสร้างการเติบโตทางธุรกิจ
ของนวัตกรรม ทั้งนี้ NIA ยังคงต้องมุ่งสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมที่ครบวงจร ด้วยการทำงานร่วมกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน ผ่านกลยุทธ์ Groom – Grant – Growth – Global โดยตั้งเป้าเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการฐานนวัตกรรมที่พร้อมแข่งขันในตลาด สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม การเร่งผลักดันให้เกิด Thailand Innovation Hub เพื่อสร้างเครือข่ายศูนย์กลางนวัตกรรมที่เชื่อมโยงทั่วประเทศ
และสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้สามารถเติบโต สร้างโอกาสขยายตลาดและแหล่งเงินทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพของไทยผ่านโปรแกรมเร่งสร้างการเติบโตของธุรกิจนวัตกรรมใน 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ การเกษตร อาหาร การแพทย์และสุขภาพ พลังงานและสิ่งแวดล้อม และท่องเที่ยว/ซอฟต์พาวเวอร์/สังคม และการยกระดับวิสาหกิจฐานนวัตกรรมให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด และต่อยอดการลงทุนสู่ตลาดสากลผ่าน 3 โปรแกรม ได้แก่ Corporate Spark เน้นการจับคู่ธุรกิจกับสตาร์ตอัปนานาชาติที่มีเทคโนโลยีหรือบริการโดดเด่น Global Market Link สร้างโอกาสเชื่อมโยงและขยายตลาดไปยังต่างประเทศ และ Global Investment Link ยกระดับศักยภาพเพื่อโอกาสรับการลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศ”
ดร.กริชผกา กล่าวเพิ่มเติม
นอกจากนี้ ภายในงานมีประเด็นเสวนาที่น่าสนใจเกี่ยวกับแนวโน้มกระแสการเปลี่ยนแปลงระดับโลกทางด้าน
เฮลท์เทค โดยนายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด พญ.จามรี เชื้อเพชระโสภณ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารโรงพยาบาลเมดพาร์ค และนายธเนศ บุญคุณศักดิ์ Business Technology Leader บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับกระแสโลกที่กำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
และระบบสุขภาพในปัจจุบัน ตั้งแต่การมาถึงของ Longevity Economy เพื่อตอบรับกระแสของผู้คนที่หันมาเอาใจใส่กับการดูแลสุขภาพมากขึ้น ก้าวต่อไปของความเป็น Global Medical Hub ไม่ว่าจะเป็นระบบวินิจฉัยดิจิทัล มาตรฐานการตรวจรักษาที่โปร่งใส และการใช้เทคโนโลยีเพื่อเชื่อมโยงบริการสุขภาพเข้ากับความต้องการของผู้ป่วยต่างชาติ รวมทั้ง Quantum Computing และ AI
ที่กำลังพลิกโฉมวงการสาธารณสุขด้วยระบบประมวลผลข้อมูลที่มีประสิทธิภาพในการนำมาใช้วินิจฉัยโรคที่มีความซับซ้อนได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งทั้งหมดกำลังท้าทายประเทศไทยในการจะเลือกเป็นเพียง “ผู้ตาม” หรือจะก้าวขึ้นมาเป็น Global Player ที่มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมนี้
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือโอกาสและความท้าทายของธุรกิจนวัตกรรมทางด้านเฮลท์เทคในระดับโลก โดย ศ.ดร.นพ.ยงยุทธ ศิริวัฒนอักษร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช นายธนกฤต ประสิทธิภาพ กรรมการสมาคมการค้าเฮลท์เทคไทย
และ พญ.เมธินี ไหมแพง ประธานคณะผู้บริหาร กลุ่ม 1 และผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพ ได้ร่วมกันฉายภาพโอกาสและ
ความท้าทายที่รออยู่ ทั้งจากกรณีศึกษาของ Siriraj Excellent Innovation Center และ HEALTHi Lab ที่เปลี่ยนงานวิจัย
ในห้องทดลองให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์และบริการทางการแพทย์ที่ใช้งานจริง ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือทั้งจากมหาวิทยาลัย ภาคเอกชน และภาครัฐ เพื่อให้ระบบนิเวศการวิจัยไม่หยุดอยู่ที่กระดาษ การเติบโตของตลาดที่มีความต้องการเทคโนโลยีสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ความท้าทายคือ กฎระเบียบที่ซับซ้อน การเข้าถึงทุนที่ยังจำกัด และความยากลำบากในการขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศ รวมทั้งมุมมองการก้าวสู่ตลาดระดับโลกของไทยผ่านการขับเคลื่อน Digital Healthcare ที่ช่วยยกระดับการบริการ
และประสิทธิภาพในการรักษา อันจะนำไปสู่การยอมรับในระดับสากล ซึ่งทำให้เห็นชัดว่าสุขภาพและเทคโนโลยียังคงเป็นหนึ่งใน
เสาหลักของเศรษฐกิจโลก ขณะที่ประเทศไทยนั้น โอกาสและความท้าทายในการสร้างระบบนิเวศที่พร้อม การผลักดันงานวิจัย
สู่ตลาด และการสนับสนุนผู้ประกอบการเฮลท์เทคให้ก้าวออกไปแข่งขันในระดับโลกยังคงเป็นเรื่องที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดต่อไป