วันศุกร์ ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2567 18:09 น.

การเมือง

ส่อล่มแก้ไข รธน.! "วิปรัฐบาล" เสนอตั้งกมธ.ศึกษา 1 เดือนก่อนลงมติ

วันพฤหัสบดี ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2563, 19.34 น.

เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2563 เวลา 17.00 น. การประชุมในญัตติร่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ ทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุมได้ให้แต่ละฝ่ายอภิปรายสรุปญัตติ โดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย อภิปรายสรุปว่า วาระนี้เป็นวาระที่ 1 ชั้นรับหลักการ ใครจะเห็นด้วยกับร่างหรือญัตติใดก็เป็นสิทธิ์ของบุคคล แต่กรณีที่มีสมาชิกถามว่าถ้าลงมติไปแล้วไม่รับหลักการร่างที่ 3-6 แต่รับร่างที่ 1 หรือ 2 แล้วจะนำไปพิจารณาในชั้น สสร. ได้อีกหรือไม่ 

นพ.ชลน่าน ชี้แจงว่า สสร. สามารถทำหน้าที่ตามกรอบของ สสร. คือสิ่งที่ทำไม่าได้คือข้อห้ามที่ห้ามแก้ไขหมวด 1 และ หมวด 2 แต่ยังสามารถพิจารณามาตราอื่นตจามญัตติ 3-6 ที่ตกไปได้ เพราะไม่มีข้อห้าม และตนขอชี้แจงว่าแม้ตกในสมัยประชุมนี้ก็ยังสามารถพิจารณาได้ เช่นเดียวกับร่างรัฐธรรมนูญของประชาชนก็สามารถนำมาพิจารณาในสมัยประชุมหน้าได้ อย่างไรก็ตามรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดต้องแก้ไขยาก แต่ต้องไม่ยากเกินจนเป็นปัญหา และต้องสามารถแก้ในสิ่งที่จะเป็นปัญหาได้ แต่ถ้าในช่วง 2 ปีนี้นายกรัฐมนตรีลาออก ยุบสภา หรือมีการเปลี่ยนแปลง ก็จำเป็นต้องใช้กฎหมายในรัฐธรรมนูญใน 4 มาตราที่พรรคฝ่ายค้านเสนอแก้ เช่น การเลือกนายกรัฐมนตรี พรรคฝ่ายค้านจะยื่นฉบับเดียวคือ แก้ไขมาตรา 256 และตั้ง สสร. แต่ถ้าไม่รับก็สามารถที่จะเลือกเฉพาะมาตราที่ต้องการจะแก้ไขและเป็นว่าเป็นประโยชน์กับบบ้านเมืองอีก 4 ญัตติได้

ส่วนกรณีที่หลายคนไม่เห็นด้วยมีเหตุผลหลายประการ เช่น การทำประชามติก่อนการเลือกว่าจะร่างทั้งฉบับหรือไม่ ตนเห็นว่าให้โหวตญัตติร่างแก้ไขเพิ่มเติมก่อนที่จะไปให้ประชาชนทำประชามติเลือกว่าจะเอาหรือไม่ ดีกว่าการทำประชามติแค่ว่าจะแก้หรือไม่แก้ เพราะจะได้คำตอบที่ชัดเจนกว่า ว่าถ้าไม่เอา ถ้าไม่เอาก็จะไม่ต้องตั้ง สสร. ประเด็นต่อมาคือคำถามว่าประชาชนจะได้ประโยชน์จากการแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า สภาพการณ์ในปัจจุบันก็เกี่ยวข้องกับประชาชนโดยตรงและเกิดมาจากรัฐธรรมนูญตามที่สมาชิกหลายคนได้ชี้แจงไปแล้ว 

นอกจากนี้ยังมีประเด็นคือ บ้านพังทั้งหลังก็ต้องซ่อมบ้านใหม่ซึ่งดีกว่าซ่อมทีละจุด บางคนบอกว่ารัฐธรรมนูญไม่มีปัญหาแต่ปัญหาอยู่ที่คนใช้ หลายคนอภิปรายไปแล้วว่ามีปัญหาทั้งระบบและคนใช้ รัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัติก็มีปัญหา ที่มาก็มีปัญหา ดังนั้นต้องแก้ที่ระบบก่อน ส่วนที่หลายคนกลัวว่าาจะยกเลิกสิ่งที่ดีในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ตนเห็นว่าสามารถเก็บสิ่งที่ดีไว้ได้ และสามารถเพิ่มเติมในดีขึ้นได้ในการยกร่าง อีกเหตุผลที่ไม่เห็นด้วยคือสิ้นเปลืองงบประมาณ ตนมองว่าคุ้มค่าและใช้งบประมาณประชามติ 3 ครั้งไม่ถึง 15,000 ล้านบาท บางคนกล่าวว่ากลัว สสร. มาจากตัวแทนของพรรคการเมือง แต่ตนเห็นว่าถ้าเชื่อมั่นและไม่มีการบิดเบือนก็จะไม่ตกในอาณัติของใคร เราต้องช่วยกันสอดส่องดูแล และถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นต้องประณาม อย่าโทษระบบต้องโทษที่การกระทำ ส่วนข้อที่บอกว่านำรัฐธรรมนูญ 2560 ไปใช้แล้วยังไม่เกิดปัญหา 

นี่เป็นเหตุผลใหญ่ที่ต้องแก้ ประชาชนสะท้อนมาตลอดว่าเกิดปัญหา ทั้งเศรษฐกิจและการเมืองที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน และถือว่าเป็นการส่งเสียงของประชาชน เป็นความต้องการของประชาชนจริงๆ หรืออย่างเช่น ไอลอว์รวมชื่อมากว่าแสนชื่อก็เป็นเสียงสะท้อนของประชาชน และเมื่อเป็นความต้องการของประชาชน กระแสเรียกร้องนี้ก็จะเพิ่มความรุนแรง ดังนั้นจึงต้องใช้พื้นทีสภาในการลดคงวามรุนแรงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ขณะเดียวกันการรับหลักการในวาระที่ 1 ไม่ได้ก่อความเสียหายใด รัฐธรรมนูญ 2560 ก็ยังใช้อยู่ และร่างใหม่ก็ต้องทำประชามติ มีโอกาสพิจารณาในรายละเอียดอยู่ ตนขอเรียกร้องว่าอำนาจเป็นของประชาชนให้ประชาชนตัดสิน ตั้ง สสร. ประชาชนก็ตัดสิน และเมื่อได้ร่างแล้ว ประชาชนก็ต้องทำประชามติอีกทีก่อนโปรดเกล้าฯ เป็นรัฐธรรมนูญ แล้วทำไมต้องปิดกั้น ไม่รับหลักการทำให้ประชาชนเสียโอกาส ดังนั้นสิ่งที่ไม่ทำคือการตัดโอกาสประชาชน และที่บอกว่าทุกคนทำเพื่อประชาชน ตอนนี้มีโอกาสแล้ว

อีกทั้งการแก้รัฐธรรมนูญนี้ไม่เกี่ยวกับการลดอำนาจ ส.ว. เลย ส.ว. แต่ละคนมาจากคนที่โดดเด่นในสายงาน แม้ว่าการทำหน้าที่ของ ส.ว. ก็ต้องทำไปตามบทบัญญัติในรัฐธรรมที่บังคับให้กระทำ โดยเฉพาะมาตรา 272 ที่บังคับให้ต้องเลือกนายกรัฐมนตรี แต่ถ้าแก้มาตรานี้ก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก ส.ว. ให้สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ ตอนนี้ที่พึ่งของประชาชนอยู่ที่รัฐสภา ถ้าเราไม่ตัดสินใจเลือกทางออกที่ดีที่สุด ถ้าเกิดปัญหาเกิดขึ้นก็จะเป็นตราบาปว่าเป็นเพราะการตัดสินใจพลาดเพียงนิดเดียว ไม่อยากให้เหมือนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้น ขอให้พวกเรามาช่วยกันหาทางออกให้ประเทศ หาทางออกให้ลูกหลานเยาวชน ตอนนี้ประชาชนไม่ได้มากดดัน แต่มารอฟังข่าวดีที่รัฐสภาจะรับหลักการให้โอกาส แล้วถ้าวาระ 2-3 ไม่เห็นชอบก็ไม่เป็นไร ตอนนั้นสถานการณ์ก็จะดีขึ้น ขอให้ให้โอกาสในการลดความขัดแย้ง

ด้านนายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ อภิปรายสรุปว่า บางครั้งที่มีการอภิปรายเราจะเห็นความรู้สึกว่าสภาผู้แทนราษฎรก่อนที่จะมีร่างรัฐธรรมนูญเข้ามาก็จะมีความสามัคคี แต่วันนี้เราจะเห็นถ้อยคำแปลกๆ ที่เกิดจากความคิดเห็นที่แตกต่างกัน วันนี้ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะมีคนถามถึงแต่ร่างรัฐธรรมนูญ เอาร่างไหน แก้แล้วประชาชนได้อะไร ตนจะไม่อ้างถึง 16 ล้านเสียงที่ยืนยันรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ตอนนี้เป็นทางที่จะต้องเลือกว่าจะเดินหน้าต่อไป หรือเดินต่อแล้วหยุดเพื่อพูดคุยกัน ทุกคนรักชาติบ้านเมืองเหมือนกันหมด แต่ทำอย่างไรที่จะได้พูดคุยกัน 

"เราไม่มีคณะกรรมาธิการร่วมที่จะได้เจอกันบ่อยๆ ข้อบังคับการประชุม 121 วรรค 3 เขียนขึ้นเพื่อที่จะมีโอกาสให้คนที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญได้มาคุยกันก่อน ถ้าตนเดินมาแล้วหยุดอยู่ตรงจุดนี้ ก็จะไม่ยอมให้ร่างแก้ไขรัฐะรรมนูญที่ตนและ ส.ส. เสนอมาให้ตกไป แต่ถ้าจะช้าไปสักเดือนก็คุ้มค่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์เราก็จะไม่แตะ แต่ถ้าเดินหน้าแล้วไม่ได้รับความไว้วางใจโหวตเห็นชอบ ตนเห็นว่าเสียง ส.ว. มีความจำเป็นในการแก้ไขมาตรา 256 ตนคิดว่าถ้าใช้เวลาพูดคุยกันบ้างไม่เกิน 30 วัน"  

ร่างที่ตนเสนอเข้ามาก็จะกลับมาใหม่ในการประชุมรัฐสภาสมัยหน้า ตลอดระยะเวลา 2 วันที่ผ่านมาตนได้รู้ว่าตนยังทำไม่ครบในร่างอีกหลายอย่าง อยากถาม ส.ว. ว่ายังขาดหรือต้องเติมในส่วนไหน ขอย้ำว่าไม่ได้ประวิงเวลา ถ้าเดินไปข้างหน้าก็ตัน แต่ถ้าตั้งคณะกรรมาธิการตามข้อบังคับ 121 วรรค 3 ตนคิดว่าเดือนพฤศจิกายนจะได้ผ่านร่างทั้ง 6 ร่างและมีการโหวต ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นในวันนี้ ตนเห็นว่า ส.ส. และ ส.ว. มีวุฒิภาวะและตั้งใจทำงานเต็มที่ ตนขอเสนอตั้งคณะกรรมาธิการก่อนรับหลักการ และเลื่อนการพิจารณาเข้ามาเป็นสมัยหน้า และบอกฝ่ายค้านว่าทำไมเราไม่มาร่วมมือกันแก้ปัญหา ถ้าวันนี้ได้เลยตนก็ไม่าขัด แต่วันยนี้ถ้าทำแล้วเป็นทางตัน ตนก็จะหยุดรออีก 1 เดือน แล้วกลับมาใหม่

"สุทิน"โวยถูกหลอกออกโรงเรียน ตอนหารือในวงทุกคนเข้าใจหมด 

ต่อมานายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอที่จะให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการ(กมธ.)ศึกษา 45 วัน ก่อนจะโหวต เพราะเกรงว่าจะไม่ใช่ทางสำเร็จ แต่วิตกด้วยว่าจะล้มเหลวแก้ไม่ได้ด้วยซ้ำ ข้ออ้างที่ว่ายังไม่เคยคุยกันเลย หรือ ข้อมูลไม่พอที่จะลงมติได้ วันที่มีการหารือกันไม่มีใครบอกว่าควรหารือกันก่อน หรือตั้งกมธ.กันก่อนหรือไม่ แม้แต่ส.ว.เองก็ไม่มีใครเสนอว่าขอดูร่างก่อน ดูเหมือนทุกคนจะมั่นใจและทำการบ้านมาอย่างดีแล้ว ไม่มีท่าทีไม่เอาทั้ง 6 ร่าง และที่อ้างขอศึกษารายละเอียดก่อน แต่นี่คือรับหลักการ ขั้นไม่ใช่รายละเอียด ข้อมูลเราเพียงพอต่อการรับหลักการแล้ว เราเชื่อว่าครบถ้วนทุกแง่มุม ที่บอกขอรายละเอียดไม่พอ ส.ว. รู้ดีกว่าพวกตนด้วยซ้ำดังนั้นเหตุผลนี้จึงฟังไม่ขึ้น หากเราจะศึกษาเนื้อหาสาระ ก็มีการตั้งกมธ.ศึกษาฯมาแล้ว โดยมีตัวแทนสมาชิกทุกฝ่าย มีการลงไปถามชาวบ้านศึกษาทุกเรื่อง ละเอียดที่สุด และนำมาเสนอในสภาแห่งนี้แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องศึกษาอีกเพราะเสียเวลาเปล่า

"ผมเกิดกังวลใหม่ว่าวันนี้ผมถูกหลอกให้ออกโรงเรียนหรือเปล่า ถ้านำเรื่องนี้ไปศึกษา1 เดือนรับประกันให้ได้หรือไม่ว่าจะรับของผม เมื่อเปิดสมัยหน้ามาลงมติให้ทันที่ เพราะถ้าของพวกผมตกไปก็เสนออีกไม่ได้เลย ต้องไปถึงปีหน้า และเราก็มีแผนสองที่เป็นความหวังไว้ คือร่างของไอลอว์ ที่กำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ ที่คาดหมายว่าจะเข้าได้ในสมัยหน้า ถ้าอย่างนี้ของไอลอว์ก็ตกอีก เพราะหลักการเมือนกันเป๊ะ นี่คือความเสียหาย เจ็บหนักกว่าวันนี้ด้วย วันนี้เราพยายามมองเจตนาดี แต่ประชาชนคงมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากจะมองว่าอู้ เตะถ่วง สภาไม่จริงใจ ฝ่ายค้านก็ไปร่วมมือด้วย ก็เจ็บอีก เสียหายอีก จึงขอฝากคิดให้ดีว่าไม่เฉพาะพวกผมที่เสียหาย แต่มันเสียทั้งสภา จำเป็นมั๊ยที่ต้องตั้งกมธ.ขึ้นมา อดีตเราไม่เคยทำ ในวาระสองก็จะมีอยู่แล้ว วันนี้ขอเพียงอย่างเดียวหลักการรับให้เราได้หรือไม่ แล้วไปว่ากันในชั้นกรรมาธิการ" นายสุทินกล่าว

อย่างไรก็ตาม นายชวนสั่งพักประชุม 10 นาที เพื่อให้สมาชิกหากันในประเด็นที่กำลังถกกันว่าจะตั้งคณะกรรมาธิการหรือมไม่ 

หน้าแรก » การเมือง

Top 5 ข่าวการเมือง