วันที่ 20 พฤศจิกายน 2563   ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศวันนี้ว่า พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 4 ราย โดยเป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานกักกัน (Quarantine Facilities)โดยเดินทางมาจากประเทศเยอรมนี 1 ราย สาธารณรัฐเช็ก 2 ราย และญี่ปุ่น 1 ราย สำหรับจำนวนผู้ป่วยยืนยันสะสมในประเทศล่าสุดอยู่ที่ 3,892  ราย  ผู้ป่วยรักษาหายแล้ว    3,745  ราย  ยอดผู้เสียชีวิตสะสมที่ 60 ราย

ศบค. เห็นชอบขยายพ.ร.ก.ฉุกเฉิน 45 วันคุมปชช.เดินทางช่วงปีใหม่ 

ที่ทำเนียบรัฐบาลนพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19 ) หรือศบค.ว่าที่ประชุมได้พิจารณาให้ความเห็นชอบขยายเวลาการบบังคับใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินพ.ศ. 2548 หรือพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่จะครบกำหนดในวันที่ 30 พ.ย.นี้ ออกไปอีก 45 วันจนถึงวันที่ 15 ม.ค. 2564 โดยสาเหตุที่ขยายเวลาพ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไป 45 วัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้จะขยายครั้งละ 30 วันนั้น เนื่องจากต้องการให้ครอบคลุมช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาจำนวนมาก และช่วงเวลาดังกล่าวจะมีการแข่งขันแบดมินตันโลก ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ  จึงมีความจำเป็นต้องมีมาตราสำหรับการดูแลนักกีฬาและผู้ติดตามที่เดินทางมาจากต่างประเทศ เพราะพวกเขาเป็นแขกของประเทศ
 
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ในที่ประชุมกระทรวงสาธารณสุขได้เสนอแนวทางการกักตัวควอรันทีน แอเรีย ที่จะปรับรูปแบบการกักตัวโดยกักตัวในสถานที่กักตัวของรัฐ 10  วันและอีก 4  วันให้อยู่ในพื้นที่ที่กำหนด เพื่อคอยสังเกตการณ์ เช่น ให้ผู้กักตัวออกไปชายหาดในบริเวณโรงแรมซึ่งเป็นพื้นที่ปิดได้ ซึ่งที่ประชุมรับทราบข้อเสนอดังกล่าว แต่ที่ประชุมขอให้ถอนวาระดังกล่าวออกไปก่อนเพราะมีหลายประเด็น ทั้งการเปิดรับประเทศที่ควบคุมโรคได้ดีกว่าเรา หรือรวมไปถึงประเทศที่มีการระบาดมากกว่าเรา และจะให้ใช้วิธีการนี้เฉพาะชาวต่างชาติหรือคนไทยที่เดินทางกลับประเทศประเทศทำให้ยังไม่ได้ข้อสรุป จึงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมแล้วเสนอเข้าที่ประชุมศบค.ชุดใหญ่อีกครั้ง 

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า นอกจากนี้ที่ประชุมศบค.ยังให้ความเห็นชอบให้แรงงานต่างด้าวบริเวณชายแดนที่ทำงานอยู่ในประเทศไทยสามารถเข้ามากักตัวในสถานที่กักตัวของรัฐได้ด้วย เนื่องจากที่ผ่านมาคนเหล่านี้ไม่สามารถเข้ามากักตัวในสถานที่ของรัฐได้ แต่เราเห็นว่าพวกเขาทำงานในประเทศก็ควรที่จะได้รับสิทธิดังกล่าว