วันเสาร์ ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2568 18:00 น.

การเมือง

นักวิชาการมอง "ความเหลื่อมล้ำ" คือทุกปัญหาในสังคมไทย

วันเสาร์ ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2563, 09.46 น.

นักวิชาการมอง "ความเหลื่อมล้ำ" คือทุกปัญหาในสังคมไทย แนะทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมแก้ อย่าทำเพียงแค่พิธีการเท่านั้น แง้มใจลดขัดแย้งรับฟังผู้มีส่วนได้เสียความหวังของประชาชน  

วันที่ ๒๖ ธันวาคม  ๒๕๖๓ พระปราโมทย์ วาทโกวิโท,ดร. อาจารย์หลักสูตรสันติศึกษา  มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา นักศึกษาหลักสูตรประกาศนีบัตรแนวคิดพื้นฐานการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี รุ่น ๕ สถาบันพระปกเกล้า เปิดเผยว่่า  ติดอาวุธทางปัญญา ณ สถาบันพระปกเกล้า หลักสูตรประกาศนีบัตรแนวคิดพื้นฐานการจัดการความขัดแย้งพื้นฐานด้วยสันติวิธี รุ่นที่ ๕ สำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า หัวข้อ #สาเหตุและแนวทางการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจกับโครงสร้างการเมือง บรรยายแลกเปลี่ยนเรียนรู้โดย อาจารย์ รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย โดยสะท้อนว่า อย่าให้การมีส่วนร่วมเป็นเพียงแค่พิธีการเท่านั้นจะต้องจริงจัง เพราะความเหลื่อมล้ำเป็นสาเหตุของความขัดแย้งเชิงลึกในสังคมไทย ทำไมชาวบ้านจึงออกมาประท้วงเวลารัฐจะก่อสร้างหรือทำอะไรที่เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต เพราะขาดการมีส่วนร่วมอย่างจริงจัง รัฐต้องสร้างการมีส่วนร่วมกับชาวบ้านอย่างจริงจัง แม้แต่ผู้ว่าราชการจังหวัดควรมีการเลือกตั้ง เป็นการกระจายไปสู่ชุมชน รัฐต้องเปิดโอกาสให้คนในท้องถิ่นได้เติบโตหรือพัฒนาบ้านเกิดตนเอง ซึ่งประเทศที่แก้ปัญหาบ้านเมืองได้จะต้องมีการยกเลิกกฎหมายบางฉบับที่ไม่เคยได้ใช้เลย ควรปรับกฎหมายให้เหมาะสม     

จึงมีระดับของเศรษฐี มหาเศรษฐี อภิมหาเศรษฐี และอัครอภิมหาเศรษฐี ในประเทศไทย  ซึ่งมีความแตกต่างกันมีความเหลื่อมล้ำ สถานการณ์ของต้มยำกุ้งเจอเฉพาะเศรษฐีนักลงทุนด้านการบริการ แต่โควิดพ่นพิษเหลื่อมล้ำในไทยโดยทุกระดับได้รับผลกระทบร่วมกัน ภาครัฐต้องแจ้งข้อมูลจริงต่อประชาชน จึงแสดงให้เห็นว่า ความเหลื่อมล้ำสอดรับกับความยุติธรรม ความยุติธรรมไม่มีจะเกิดความเหลื่อมล้ำ เช่น กรณีคดีใหญ่ของเครื่องดื่มที่เกิดขึ้น เป็นกรณีสุดโต่งที่สะท้อนรากเหง้าของกระบวนการยุติธรรมไทย  ระบบความยุติธรรมของตอนนี้ยากมาก ดีที่ระบบศาลของเรายังสามารถพึ่งพาได้ ทำไมเราจึงปฏิวัติบ่อยที่สุดในโลก เพราะฐานของความเหลื่อมล้ำ เวลาเรามีความขัดแย้งเราไม่มีกระบวนการประนีประนอมอย่างจริงจัง (Habits of Compromise) คู่กรณีต้องหนีไปต่างประเทศ ความหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจทำให้ระบบประชาธิปไตยไม่อาจลงหลักปักฐานได้ ไทยจึงมีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่สุดประเทศหนึ่งในโลก โดยแนวโน้มและรูปแบบความเหลื่อมล้ำ ประกอบด้วย 

๑)เหลื่อมล้ำระหว่างครอบครัวเรือนชั้นกลาง ๒)ปัญหาคนจนสุด คนรวยสุด ๓)เหลื่อมล้ำระหว่างครัวเรือนในเมือง ชนบท คนรวยคนจนเสียภาษีอัตราเดียวกัน ซึ่งปัจจัยเดียวที่ลดความเหลื่อมล้ำในยุโรปคือ #สงคราม และ #โรคระบาด  แต่ปัจจุบันระดับเศรษฐีกับคนจนมีความเหลื่อมล้ำคนรวยมีวิธีป้องกันดีที่สุด ส่วนคนรวยมีวิธีการป้องกันไม่ดีเท่าใด จนสุด ๕ % คือ โง่ จน เจ็บ ขาดโอกาสการศึกษา การรักษา การทำงาน ติดยาเสพติด เหล้า การพนัน ระบบสาธารณสุขไทยมีการกระจายอำนาจไปถึงชนบทที่ดีมาก คือ โรงพยาบาล รพ.สต. อสม. แต่เรามีสวัสดิการคนจนดีแต่เราเพียงให้ปลาเท่านั้น เราต้องสอนวิธีจับปลาจะเกิดความยั่งยืน นโยบายสวัสดิการของรัฐ ประกอบด้วย ๑)สวัสดิการถ้วนหน้า คือ ผู้มีรายได้น้อย รวมถึงเด็กเล็ก การศึกษาฟรี รักษาพยาบาล คนชรา ชาวนา สวนยาง ๒)สวัสดิการเฉพาะกลุ่ม เช่น รถเมล์ ไฟฟ้า น้ำปะปาฟรี บัตรสวัสดิการผูมีรายได้น้อย สวัสดิการไม่ถึงประชาชน เช่น อินเดีย มีจนจำนวนมาก คำถามว่าเงินแก้ปัญหาความยากจนได้ไหม? ผลวิจัยขึ้นอยู่กับเงื่อนไขนั้นๆ ไทยเราต้องจัดสวัสดิการให้ประชาชนเข้าถึง #การศึกษา และ #ค่ารักษาพยาบาล  ส่วนรวยสุด ๑ % เช่น นักการเมือง ผู้มีอิทธิพล ตระกูลอภิมหาเศรษฐี รวมถึงอาชีพผิดกฎหมาย เราอาจจะหมดหวังกับกลุ่ม ๑ %   
     
รัฐจึงควรลงทุนในเด็กเริ่มต้นจากการพัฒนาพ่อแม่ให้มีคุณภาพเพื่อลูกจะได้มีคุณภาพ เพราะเด็ก อายุ ๑-๕ ปี เป็นฐานของการพัฒนาคน เราจึงต้องให้โอกาสเด็กที่มีความยากจนมาพัฒนาในระบบการศึกษาอย่างจริงจัง สังคมไทยเป็นสังคมระบบอุปถัมภ์ ซึ่งเป็นอันตรายที่สุด จึงพยายามมาสร้างเครือข่ายผลประโยชน์ โดยธุรกิจเพื่อธุรกิจทำให้เกิดระบบอุปถัมภ์อย่างยั่งยืน โดยสาเหตุของความเหลื้อมล้ำคือการผูกขาด คอรัปชั่น โครงสร้างพื้นฐาน นโยบายการคลัง การเข้าถึงสินเชื่อ สวัสดิการสังคม คุณภาพการศึกษานโยบายแรงงาน รัฐจะต้องมีความเป็นกลางที่สุดอย่าให้ใครสามารถวิ่งเต้นได้ ปัจจุบันธุรกิจโรงแรมแย่ที่สุดในสถานการณ์ของโควิด การจะแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่แท้จริงจะต้องเป็นประชาธิปไตยจริงจังเท่านั้น ปัจจุบันเราได้ตระกูลการเมืองจากพ่อถึงลูก รัฐจะต้องวางนโยบายแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้น ว่า #นโยบายลดความเหลื่อมล้ำที่ดีควรเป็นนโยบายแก้ปัญหาในอนาคตไม่ใช่นโยบายที่มุ่งแก้ปัญหาในอดีต แนวทางการปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อให้ประชาธิปไตยไทยสามารถลงหลักปักฐานได้อย่างมั่นคงและลดความขัดแย้ง จึงต้องมี ๔ ยุทธศาสตร์ ๑)ไม่ใช้ความรุนแรง เช่น ปฏิรูปที่ดิน ยึดทรัพย์  ๒)การลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจแบบสันติ เช่น ระบบสวัสดิการพื้นฐาน ปฏิรูประบบภาษี ลดอำนาจรัฐ ๓)สร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจแบบทั่วถึง เช่น เปลี่ยนยุทธศาสตร์การพัฒนา ๔)สร้างโอกาสให้คนจน คนด้อยโอกาส 
    
เมื่อเกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจรัฐมีทางเลือก ๒ ทาง คือ ๑)เลือกไม่กระจายรายได้ อาจเกิดประชาชนไม่พอใจจึงลุกฮือมาปฏิวัติ หรือ รัฐลงมือกดขี่ปราบปรามประชาชนที่ไม่พอใจ เช่น ปราบปรามคนผิดดำในแอฟฟริกา  ๒)เลือกกระจายรายได้ เป็นการประชานิยมสุดขั้ว และ ใช้นโยบายสวัสดิการขั้นพื้นฐานควบคู่กับการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบทั่วถึง เหมือนในยุโรปตะวันตก คือ เยอรมันและกลุ่มสแกนดิเนเวีย ทำให้ระบบประชาธิปไตยหยั่งรากอย่างมั่นคง ถึงประชาชนที่มีความเห็นต่างแต่อยู่ร่วมกันอย่างสันติ แต่ปัจจุบันเรา มีวาทะเพื่อย้ำเตือนจากบุคคลท่านหนึ่งว่า "ตราบใดที่ไม่มีประชาธิปไตยทางการเมือง ถ้ายังไม่มีประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ" รวมถึงคำว่า "จอมยุทธ์เหยียบหิมะไร้ร่องรอย" และกลุ่มวีไอพี ??? โดยผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำคือ ๑)ประชาธิปไตยไม่ลงหลักปักฐาน มุ่งปราบปรามประชาชน หรือ ใช้ประชาธินิยม   ปฏิวัติ เลือกตั้ง วงจรอุบาทก์ ไม่มีการประนีประนอมทางการเมือง ๒)ปัญหาสังคม  คือ ค้ายาเสพติด โสเภณี แชร์ ครอบครัวฟันหลอ  ๓)เศรษฐกิจเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ เช่น ลงทุนวิ่งเต้นขออภิสิทธิ์จากรัฐ สูญเสียทรัพยากรมนุษย์ เหมือนสอบจอหงวนในจีนสมัยก่อน  แนวทางการลดความเหลื่อมล้ำในประวัติศาสตร์ยุโรป ใช้วิถียมทูตทั้งสี่มีผลชัดเจนคือ ๑)สงครามใหญ่ ๒)ไฟปฏิวัติ ๓)รัฐล่มสลาย ๔)โรคร้ายระบาด ซึ่งส่วนสวัสดิการทางสังคมด้านสุขภาพเกี่ยวกับ ๓๐ บาทรักษาทุกโรค ประชาชนถือว่าได้ประโยชน์เป็นอย่าง  มาก เราต้องเติบโตแบบช่วยเหลือ อย่าให้การเมืองและกฎหมายเป็นอุปสรรคในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย              
ดังนั้น ท่านอาจารย์ รศ.ดร. นิพนธ์ พัวพงศกร จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย มุ่งสะท้อนว่า ความเหลื่อมล้ำเป็นปัญหาความขัดแย้งที่ฝังรากลึกในสังคมไทยมายาวนาน จึงตั้งคำถามว่าเราจะหมดหวังหรือมีหวังในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ผู้ที่จนที่สุดในไทยจะอยู่อย่างไร? เพราะเรามีความเหลื่อมล้ำมากประเทศหนึ่งที่สุดในโลก จึงพยายามเสนอว่าอย่าให้การมีส่วนร่วมแค่พิธีการเท่านั้น ความเหลื่อมล้ำจึงเป็นสาเหตุของความขัดแย้งเชิงลึกในสังคมไทย แต่สิ่งที่หยุดความเหลื่อมล้ำได้ดป็นถาวรคือ สงคราม และ โรคระบาดรุนแรง สามารถลดความเหลื่อมล้ำได้ เพราะเป็นทำลายแบบสิ้นซาก รัฐจึงต้องจัดสวัสดิการด้านการศึกษาและรักษาพยาบาล ทำไมเราจึงไม่สามารถประนีประนอมกันได้จะต้องมีการปฏิวัติเป็นวิถี    
    
ทำให้มองผ่านผลการวิจัยของมิติพุทธธรรมกับการลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย สาเหตุมาจากโอกาสที่ไม่เท่าเทียมกันในการด้านการศึกษา ทุนนิยม  ปัญหาความยากจน วิธีการแก้ควรนำระบบสวัสดิการขั้นพื้นฐานมาใช้ พระพุทธศาสนาได้เสนอหลักลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย คือ มีความยุติธรรม สร้างความเสมอภาคเท่าเทียมกัน ให้ความสำคัญต่อสังคมส่วนรวม และลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ พร้อมสร้างความเป็นธรรม สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากระดับความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยสุดกับ กับคนจนที่สุดยังต่างมากกว่าประเทศอื่น ประเทศไทยมีอภิมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินเกิน ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท เพิ่มจาก ๑๒ ตระกูลในปี ๒๕๕๕ เป็น ๒๖ ตระกูลในปี๒๕๕๗   

แง้มใจลดขัดแย้งรับฟังผู้มีส่วนได้เสียความหวังของประชาชน  

พระปราโมทย์ กล่าวด้วยว่า พร้อมกันนี้ยังได้เรียนรู้เครื่องมือการจัดการความขัดแย้ง ภายใต้หัวข้อ "การจัดการความขัดแย้งด้านนโยบายสาธารณะในสังคมไทย" แลกเปลี่ยนโดย อาจารย์ ดร. ถวิลวดี บุรีกุล ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า เริ่มต้นจากการถามความคาดหวังของผู้เรียนว่ามีความคาดหวังอะไรในการเรียนรู้ในหัวข้อการจัดการความขัดแย้งด้านนโยบายสาธารณะในสังคมไทย เมื่อได้รับตามความคาดหวังจึงเกิดศรัทธา ลงเลือกตั้งครั้งใดก็ชนะเพราะศรัทธาไปแล้ว จึงทำให้ประชาชนคาดหวังจากภาครัฐโดยเฉพาะนโยบายสาธารณะ โดยระดับท้องถิ่นหรือเอกชนสามารถทำนโยบายสาธารณะได้ นโยบายสาธาณะไม่ใช่รัฐทำเท่านั้น ภาคประชาสังคมสามารถทำได้ เช่น จิตอาสาต่างๆ  น้ำท่วม มูลนิธิร่วมกตัญญู เวลาเกิดอุบัติเหตุ ปัจจุบันจึงมีการสร้างสะพานโดยไม่มีคลอง โดยไม่ถามชาวบ้านเลยว่ามีความจำเป็นอย่างไร? กรณี ๓๐ บาทรักษาทุกโรคเกิดมาจากการรับฟังเสียงประชาชน ถือว่าเป็นนโยบายสาธารณะ ทำให้อดีตนายกนำมาเป็นเชิงนโยบาย เราจึงต้องแง้มใจที่จะฟังทุกเสียงแม้บุคคลที่เห็นต่าง 


     
เป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) จึงต้องมีการพัฒนาเพื่อขจัดความยากจน ขจัดความอดอยากทางอาหาร ส่งเสริมโอกาสในการเรียนรู้ สร้างความเท่าเทียมทางเพศสตรีและเด็กหญิง รวมถึงส่งเสริมสันติภาพเข้าถึงระบบยุติธรรมอย่างเท่าเทียมกัน เป็นต้น ถือว่าเป็นนโยบายของโลกจึงมีการพัฒนา ตามมาตรา ๗๗ ต้องรับฟังเสียงของประชาชนหรือบุคคลที่มีส่วนได้เสียเกี่ยวข้อง จะนำไปสู่สุขสถาพรจะต้องมีความเป็นธรรม ประเทศนั้นจะต้องเป็นประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้งอย่างสุจริตเป็นธรรมมีธรรมาภิบาลเป็นฐาน มีนิติธรรมเป็นสำคัญ ซึ่งในมาตรา ๕๘ มีคำว่า "ผู้มีส่วนได้เสีย" เราต้องแง้มใจว่าทำไมเราจึงคิดแบบนั้น ทำไมเขามาประท้วงต้องแง้มใจรับฟังอย่างจริงใจ จึงต้องสร้างกระบวนการสร้างมีส่วนร่วม ตัวอย่างที่ไม่เห็นหัวประชาชนคือ คลองด่าน ถือว่าเป็นการทำโครงการที่ขาดการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง จึงมีการบริการสาธารณะแนวใหม่ การพัฒนาประชาธิปไตยสู่ธรรมาภิบาลในระบอบประชาธิปไตย โดยมีประชาธิปไตยทางตรง แบบตัวแทน มีธรรมาภิบาล และมีธรรมาธิปไตย จึงต้องอาศัยการสื่อสารสาธารณะและการสื่อสารที่เห็นหน้าเป็นตากัน  โดยบรรทัดฐานใหม่จะต้องมีธรรมาผธิปไตย ประชาธิปไตยแบบประชาชนเสวนาหาทางออก และชีวาธิปไตย นโยบายสาธารณะรัฐควรใส่ใจ ๑) เศรษฐกิจ เช่น ปากท้อง อาหาร   ๒)สังคม เช่น การศึกษา ผู้สูงอายุ ๓) สิ่งแวดล้อม  เช่น ฝุ่น  ๔)การเมือง เช่น การกระจายอำนาจ  ๕)อื่นๆ เช่น โควิด  ถือว่าเป็นกระบวนการสร้างการมีส่วนร่วม ถ้าความต้องการได้รับการตอบสนอง 
     
Reformulation ของการออกแบบนโยบายตามความถูกต้องมีความยุติธรรม เพราะมีกฎหมายอยู่ในมือแต่ให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชนไม่ได้ถือว่าเป็นผู้ไร้ซึ่งคุณธรรม จึงต้องออกแบบนโยบายควรมีการคำนึงถึงข้อมูลที่ถูกต้อง วิเคราะห์ทางเลือก จึงต้องออกแบบการมีส่วนร่วมให้ทุกคนมีศักดิ์ศรีและมีความหมาย การตัดสินใจแบบมีส่วนร่วมข้อห่วงกังวลของผู้มีส่สนได้เสียถูกใช้ในการตัดสินใจ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๒๕๖๐ มาตรา ๕๘ กำหนดว่าจะต้องรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย และประชาชนชุมชนที่เกี่ยวข้อง ในเรื่องของConflict จะสอดรับกับคำว่า จุดยืนคือ ไม่เอาไม่ได้ กับ จุดสนใจ คือ ทางเลือก ประเภทของความขัดแย้งของคริสโตเฟอร์ มัวร์ จึงแบ่งประเภทของมี ๕ ประการ คือ ผลประโยชน์  ข้อมูล  ความสัมพันธ์ โครงสร้าง และค่านิยม #สามารถเจรจาไดง่าย  คือ ข้อมูล ผลประโยชน์ ความสัมพันธ์ #เจรจาได้ยาก คือ ค่านิยม และโครงสร้าง  ความขัดแย้งจากนโยบายสาธาณะเป็นการเพิ่มขึ้นของความซับซ้อนของปัญหา ทรัพยากรสาธารณะมีจำกัด และความไม่พอใจของสาธาณชนจากการตัดสินใจแบบเดิมๆ ทางเลือกในการจัดการความขัดแย้งเพื่อแก้ปัญหา หาทางออก ป้องกัน เมื่อเกิดความขัดแย้งจะต้องเสวนาหาทางออก เราจึงควรทำผลกระทบทางสังคม (CIA HIA GIA) การตัดสินใจเพื่อจัดการความขัดแย้ง ด้วย อำนาจ ความถูกต้อง และความสนใจ ส่วนระบบของแก้ปัญหาความขัดแย้ง ใช้ ๓ วิธีการ คือ  ๑)ใช้อำนาจ  เช่น สงคราม จะเป็นการชนะและแพ้ หรือแพ้ทั้งหมด ๒)ใช้สิทธิ เช่น การดำเนินคดี มีฝ่ายชนะมีฝ่ายแพ้ ๓)ใช้จุดสนใจ เช่น การไกล่เกลี่ยคนกลาง  จะเป็นการชนะร่วมกัน
    
การจัดการความขัดแย้งด้านนโยบายสาธารณะในสังคมไทยจะต้องอาศัย ๕ ประเภท คือ ๑)นกฮูก ผู้ร่วมมือ  ๒)สุนัขจิ้งจอก ยอมแพ้  ๓)หมี ผู้ยอมทำตาม ๔)ปลาฉลาม ผู้แข่งขัน ๕)เต่า นักเจรจา อยู่นิ่งๆ บางสถานการณ์ต้องอยู่นิ่งๆ อาศัยความนิ่ง ส่วนตัวแล้วได้คะแนนเต่ามากที่สุด เน้นความสัมพันธ์มากกว่า จึงต้องใช้รูปแบบที่แตกต่างในการจัดการความขัดแย้ง อาจจะใช้รูปแบบแข่งขัน ร่วมมือ หลีกเลี่ยง ปรับให้เข้ากัน 
    
การสร้างพื้นที่สาธารณะสำหรับการมีส่วนร่วมของกลุ่มผู้มีส่วนได้เสีย  การมีส่วนร่วมของประชาชน หมายถึง การที่หน่วยงานของรัฐได้เปิดโอกาสให้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือผู้มีส่วนได้เสียได้เข้ามามีส่วนร่วมเพื่อนำไปสู่การตัดสินใจที่ดีกว่าโดยกระบวนการต่างๆ อย่างน้อยได้แสดงทัศนะความคิดเห็น โดยมีธรรมาภิบาลคือ มีส่วนร่วม จะต้องเปิดพื้นที่สร้างความปลอดภัย โดยคำนึงถึงความพอใจ เงื่อนไขของการมีส่วนร่วมจะต้องมีอิสรภาพ มีความเสมอภาค มีความสามารถ มีจิตสาธารณะ จึงต้องทำความเข้าใจคำว่า ผู้มีส่วนได้เสีย ต้องวิเคราะห์บุคคลที่ได้รับผลกระทบ จึงแบบออก ๔ ประเภท คือ ๑) มีอิทธิพลสูงแต่ไม่สนใจ ๒)สนใจมากมีอิทธิพลสูง ๓)ไม่สนใจไม่มีอิทธิพล ๔)สนใจมากแต่ไม่มีอิทธิพล เราจึงต้องประเมิน Stakeholder ให้ดี จึงต้องระบุผู้มีส่วนได้เสีย ระบุความสนใจของพวกเขา ประเมินอำนาจอิทธิพลความสนใจ และวางกลยุทธ์ในการมีส่วนร่วม การมีส่วนร่วมจึงเป็นการสะท้อนความหลากหลาย
    
ดังนั้น ในช่วงท้าย อาจารย์ ดร. ถวิลวดี บุรีกุล มีการสะท้อน ๔ ข้อ โดยให้นักศึกษาสะท้อน ๑) เราเรียนรู้อะไร ๒)เรารู้สึกอย่างไร ๓)มันเกิดขึ้นอะไรในการเรียนรู้ ๔)เราจะนำไปใช้ต่ออย่างไร จึงต้องแง้มใจเพื่อลดขัดแย้ง รับฟังผู้มีส่วนได้เสีย ซึ่งเป็นความหวังของประชาชน ในการจัดการความขัดแย้งด้านนโยบายสาธารณะในสังคมไทย                      

หน้าแรก » การเมือง