วันศุกร์ ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 10:28 น.

การเมือง

"ณพลเดช"สำรองสว.เชียงราย ชมมนต์เสน่ห์แห่งชาฟรานโบลู รอยอดีตอันรุ่งโรจน์บนเส้นทางสายไหม ชูเชียงแสนมรดกโลก

วันศุกร์ ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568, 15.22 น.

เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568   ที่เมืองชาฟรานโบลู ประเทศตุรกี ดร.ณพลเดช มณีลังกา ว่าที่ สว. จังหวัดเชียงราย กลุ่ม16 กลุ่มศิลปะ วัฒนธรรม ดนตรี การแสดงและบันเทิง นักกีฬา ได้โพสต์เฟสบุ๊คส่วนตัว“ดร.ปิง ณพลเดช มณีลังกา”ระบุว่า มนต์เสน่ห์แห่งชาฟรานโบลู รอยอดีตอันรุ่งโรจน์บนเส้นทางสายไหม
 
วันนี้ผมได้มาที่เมืองนี้ดุจดั่งมนต์สะกดแห่งกาลเวลา ทันทีที่ย่างก้าวแรกของผมสัมผัสลงบนผืนแผ่นดินของเมืองชาฟรานโบลู (Safranbolu) ความรู้สึกราวกับได้เดินทางข้ามมิติย้อนกลับไปสู่อาณาจักรออตโตมันอันเกรียงไกรในยุครุ่งโรจน์ เมืองมรดกโลกแห่งนี้ ซึ่งได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ในปี ค.ศ. 1994 ไม่ได้เป็นเพียงแค่สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม แต่เป็นเสมือนพิพิธภัณฑ์มีชีวิตที่เก็บรักษากลิ่นอายของอดีตไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ จิตวิญญาณแห่งความรุ่งเรืองในวันวานยังคงสถิตอยู่ในทุกอณูของสถาปัตยกรรมอันงดงาม และวิถีชีวิตของผู้คนที่เรียบง่าย หากเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อันน่าหลงใหล
 
ชาฟรานโบลู (Safranbolu) ไม่ได้เป็นเพียงแค่หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีบ้านเรือนในแบบออตโตมัน (Ottoman) โดยแท้จริงเท่านั้น แต่ยังเป็นขุมทรัพย์ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันล้ำค่า โครงสร้างทางสถาปัตยกรรม (Architectural Structures) กว่าหนึ่งพันหลังที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ราวกับหยุดกาลเวลาไว้ เป็นประจักษ์พยานถึงความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิออตโตมันในยุคสมัยที่รุ่งเรืองถึงขีดสุด บ้านเรือนไม้เก่าแก่ที่ตั้งตระหง่านเรียงรายไปตามตรอกซอกซอยที่คดเคี้ยว สุเหร่า (Mosque) ที่สง่างามด้วยสถาปัตยกรรมอันวิจิตรบรรจง โรงพยาบาล (Hospital) เก่าแก่ที่เคยให้บริการผู้คนในอดีต หอนาฬิกา (Clock Tower) ที่บอกเล่าเรื่องราวของกาลเวลาที่ผันผ่าน และป้อมตำรวจ (Police Station) ที่ได้รับการยกย่องว่างดงามติดอันดับโลก ล้วนเป็นองค์ประกอบที่ร้อยเรียงเข้าด้วยกัน ก่อเกิดเป็นมนต์เสน่ห์แห่งชาฟรานโบลูที่ยากจะหาเมืองใดเสมอเหมือน
 
ณ ใจกลางเส้นทางสายไหม (Silk Road) อันเลื่องชื่อ ชาฟรานโบลูเคยเป็นจุดบรรจบของอารยธรรมอันหลากหลาย ทั้งจักรวรรดิโรมัน (Roman Empire) อันเกรียงไกร อาณาจักรไบแซนไทน์ (Byzantine Empire) ที่รุ่งเรือง อาณาจักรเซลจุก (Seljuk Empire) ที่ยิ่งใหญ่ และอาณาจักรออตโตมัน (Ottoman Empire) อันเกรียงไกร แต่ละยุคสมัยได้ฝากฝังร่องรอยแห่งความเจริญรุ่งเรืองไว้บนผืนแผ่นดินแห่งนี้ ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา เรียนรู้ และตระหนักถึงคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรม (Cultural Heritage) ที่สืบทอดมาอย่างยาวนานครับ


 
นาม "ชาฟรานโบลู" (Safranbolu) มีที่มาจาก "หญ้าฝรั่น" (Saffron) พืชสมุนไพรล้ำค่าที่เป็นดั่งทองคำแห่งผืนดิน สินค้าส่งออก ที่สร้างชื่อเสียงให้กับเมืองนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณ หญ้าฝรั่นถูกนำมาใช้เป็นทั้งสีผสมอาหารและเครื่องดื่ม มอบสีสันและกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ให้กับอาหารและขนมหวานนานาชนิด กลิ่นหอมเฉพาะตัวของหญ้าฝรั่นได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการปรุงอาหารของตุรกี ที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น และยังคงเป็นที่ต้องการในหมู่ผู้คนทั่วโลก
 
การที่ผมได้มาเมืองชาฟรานโบลู เปรียบเสมือนการย้อนเวลากลับไปสู่อดีตอันรุ่งโรจน์ ถนนที่ปูด้วยก้อนหิน (Cobblestone Streets) ขรุขระ ไม่ได้เรียบเนียนเสมอกัน หากแต่เต็มไปด้วยเสน่ห์ในความไม่สมบูรณ์แบบ ก้อนหินแต่ละก้อนดูราวกับจะถูกวางด้วยมือของช่างฝีมือในอดีตอย่างประณีตบรรจง แม้จะไม่เรียบเสมอกัน แต่ก็สะท้อนถึงความตั้งใจ ความใส่ใจในรายละเอียด และความเคารพในวัสดุธรรมชาติ เสียงฝีเท้าที่กระทบกับพื้นหิน เสียงรถม้า ที่วิ่งผ่านไปมา เสียงผู้คนที่พูดคุยกันในตลาด ล้วนเป็นเสียงแห่งชีวิตที่ขับขานบทเพลงแห่งกาลเวลา ทำให้เมืองนี้มีชีวิตชีวาและน่าหลงใหล
 
อากาศในชาฟรานโบลูบริสุทธิ์สดชื่น (Fresh Air) จนสามารถสัมผัสได้ถึงความสะอาดไร้สิ่งเจือปน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากหิมะโปรยปราย ความเย็นของอากาศที่สัมผัสกับผิวหนังและแทรกซึมเข้าสู่ปอดครับ ทำให้รู้สึกถึงพลังแห่งธรรมชาติ (Power of Nature) ที่โอบล้อมเมืองนี้ไว้ ท้องฟ้าสีครามสดใสตัดกับขุนเขาที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา เป็นภาพที่งดงามราวกับภาพวาด ที่ธรรมชาติบรรจงสร้างขึ้น สร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือนอย่างไม่รู้ลืม
 
เมื่อผมเดินลึกเข้าไปในหมู่บ้าน สิ่งแรกที่สะดุดตาคือป้าย "ฮัมมัม" (Hammam) ซึ่งแปลว่า "โรงอาบน้ำ" ในภาษาตุรกี ฮัมมัมแห่งนี้ไม่ใช่เพียงสถานที่อาบน้ำธรรมดา แต่เป็นสถานที่ที่ให้บริการอาบน้ำอุ่น อบไอน้ำ และนวดผ่อนคลายตามแบบฉบับของชาวออตโตมัน (Ottoman Tradition) ในอดีต ฮัมมัมเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของกองคาราวาน (Caravan) ที่เดินทางบนเส้นทางสายไหม และยังคงเปิดให้บริการจนถึงปัจจุบัน เป็นการสืบสานประเพณีและวัฒนธรรมอันเก่าแก่ กองคาราวานเหล่านี้มักจะแวะพักที่ฮัมมัมเพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการเดินทางอันยาวไกล และเพื่อฟื้นฟูร่างกายและจิตใจให้พร้อมสำหรับการเดินทางต่อไป


 
จากที่ผมสังเกตบ้านเรือน (Houses) ในชาฟรานโบลูส่วนใหญ่สร้างด้วยหินในชั้นล่าง และไม้ในชั้นบน บางหลังมีถึงสามชั้น สะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาและความเชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรม  ของชาวออตโตมันในอดีต บ้านบางหลังได้รับการปรับปรุงให้เป็นโรงแรมที่พัก สำหรับนักท่องเที่ยว เพื่อให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสกับบรรยากาศของเมืองเก่าอย่างใกล้ชิด ได้ดื่มด่ำกับมนต์เสน่ห์แห่งอดีตอย่างเต็มอิ่ม และได้เรียนรู้ถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวออตโตมัน
 
ผมมีโอกาสได้พักค้างคืนที่โรงแรม (Hotel) ซึ่งเคยเป็นบ้านเก่าของชาวออตโตมัน บรรยากาศภายในโรงแรมเต็มไปด้วยความขลังและมนต์เสน่ห์ของอดีต พื้นห้องปูด้วยพรมสีสันสดใส ผนังไม้และเฟอร์นิเจอร์โบราณ (Antique Furniture) สร้างความรู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเอง หน้าประตูห้องพักมีป้ายเขียนว่า "กรุณาถอดรองเท้า" ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของชาวตุรกีในการรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในบ้าน เป็นการแสดงความเคารพต่อสถานที่และเจ้าของบ้าน
 
ผมเห็นประตูห้องพัก ไม่มีระบบคีย์การ์ด ที่ทันสมัย แต่ใช้กุญแจไขแบบโบราณ (Traditional Key) กลอนประตู เป็นกลไกที่ชาญฉลาดและซับซ้อน เมื่อปิดประตู กลอนจะล็อกโดยอัตโนมัติ ทำให้รู้สึกถึงความปลอดภัยและความใส่ใจในรายละเอียดของช่างในอดีต เป็นภูมิปัญญา (Wisdom) ที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ หากลองจินตนาการถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในยุคนั้น การสร้างกลไกที่ซับซ้อนเช่นนี้ได้ถือเป็นเรื่องที่น่าทึ่งอย่างยิ่ง และหากเปรียบเทียบกับเทคโนโลยีด้านยุทโธปกรณ์ (Military Technology) ในสมัยนั้น ก็คงจะมีความก้าวหน้าไม่แพ้กัน สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงมันสมองอันลึกล้ำและภูมิปัญญาอันเฉียบแหลมของปัญญาชน ในอดีตของอาณาจักรออตโตมัน
 
นอกจากที่ผมเห็นความงดงามของสถาปัตยกรรมแล้ว ชาฟรานโบลูยังมีเครื่องรางของขลังที่เป็นเอกลักษณ์ นั่นคือ "ดวงตาปีศาจ" (Nazar) ซึ่งเชื่อกันว่าจะช่วยปกป้องผู้สวมใส่จากสิ่งชั่วร้ายและนำโชคลาภมาให้ แม้ว่าชาวมุสลิมส่วนใหญ่จะไม่นิยมเครื่องรางของขลัง แต่ดวงตาปีศาจกลับเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในตุรกี เป็นสัญลักษณ์แห่งความเชื่อและวัฒนธรรมที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว
 
ผมเดินชมร้านค้าในชาฟรานโบลูเต็มไปด้วยสินค้าหัตถกรรมและของที่ระลึกมากมาย หนึ่งในสินค้าที่ดึงดูดความสนใจของผมคือเครื่องประดับที่ทำจากหิน “Zultanite” ซึ่งเป็นอัญมณีที่มีเฉพาะในตุรกี หิน Zultanite มีคุณสมบัติพิเศษคือสามารถเปลี่ยนสีได้ตามสภาพแสง ทำให้เครื่องประดับที่ทำจากหินชนิดนี้มีความสวยงามและเป็นเอกลักษณ์ ผมเดินเข้าไปในร้านขายเครื่องประดับแห่งหนึ่งและพบกับแหวนวงหนึ่งที่ประดับด้วยหิน Zultanite ขนาดใหญ่ หลังจากต่อรองราคาเล็กน้อย ผมก็ตัดสินใจซื้อแหวนวงนั้นมาเป็นของที่ระลึก การซื้อขายในครั้งนี้เป็นไปอย่างเรียบง่ายและเป็นกันเอง สร้างความประทับใจให้กับผมอย่างมาก
 
ชาฟรานโบลูไม่ได้เป็นเพียงเมืองที่งดงามและเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ แต่ยังเป็นสถานที่ที่สะท้อนถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและความเชื่อมโยงของอารยธรรมต่าง ๆ ที่หลอมรวมกันอย่างลงตัว การเดินทางมาที่นี่ไม่เพียงแต่ทำให้ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับอดีตอันรุ่งเรืองของตุรกี แต่ยังทำให้ผมได้สัมผัสถึงเสน่ห์ของชีวิตที่เรียบง่ายและความงดงามของวัฒนธรรมที่ยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ชาฟรานโบลูจึงเป็นมากกว่าจุดหมายปลายทางสำหรับนักท่องเที่ยว แต่เป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าที่จะอยู่ในความทรงจำของผมอย่างไรก็ตาม ผมอยากจะให้เมืองไทยมีเมืองมรดกโลกให้มากกว่านี้ หากตูตัวอย่างของตุรกี ที่สร้างความสำเร็จของประเทศตุรกีในการผลักดันสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมให้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก (World Heritage Sites) จากองค์การยูเนสโก (UNESCO) นั้น ไม่ได้เกิดขึ้นจากความบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากความมุ่งมั่นและความทุ่มเทของรัฐบาลตุรกีในการอนุรักษ์และส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ (National Cultural Heritage) อย่างจริงจังและต่อเนื่อง ตุรกีตระหนักดีว่ามรดกโลกเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นสมบัติอันล้ำค่าของชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยว (Tourist Attraction) จากทั่วทุกมุมโลก สร้างรายได้และชื่อเสียงให้กับประเทศอย่างมหาศาลครับ
 
ปัจจุบัน ตุรกีมีมรดกโลกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกมากถึง 21 แห่ง ครอบคลุมทั้งแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม (Cultural Heritage Sites) และแหล่งมรดกทางธรรมชาติ (Natural Heritage Sites) ตัวอย่างเช่น
 
   1.อิสตันบูล (Istanbul) เมืองหลวงเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมอันงดงามจากหลากหลายยุคสมัย ทั้งโรมัน ไบแซนไทน์ และออตโตมัน
   2.เอเฟซัส (Ephesus) เมืองโบราณยุคกรีก-โรมัน ที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ แสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของอารยธรรมในอดีต
   3.คัปปาโดเกีย (Cappadocia) ภูมิประเทศที่แปลกตาด้วยหินรูปทรงประหลาด และเมืองใต้ดินที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ผืนดิน
   4.ปามุคคาเล (Pamukkale) "ปราสาทปุยฝ้าย" ธารน้ำแร่หินปูนสีขาวที่สวยงามราวกับดินแดนในเทพนิยาย
   5.ชาฟรานโบลู (Safranbolu) เมืองที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีเยี่ยม แสดงให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมและวิถีชีวิตแบบออตโตมันดั้งเดิม
 
ความสำเร็จของตุรกีเป็นแรงบันดาลใจและกรณีศึกษา (Case Study) ที่ดีสำหรับประเทศไทย ซึ่งมีศักยภาพในการผลักดันสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมให้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเช่นกัน หากรัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์และส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรมอย่างจริงจัง และดำเนินการตามขั้นตอนและหลักเกณฑ์ของยูเนสโกอย่างเคร่งครัด ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ประเทศไทยจะมีมรดกโลกเพิ่มขึ้นในอนาคต
 
ประเทศไทยมีสถานที่หลายแห่งที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นมรดกโลก เช่น
 
   1.เชียงแสน (Chiang Saen) เมืองโบราณที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของอาณาจักรล้านนา
   2.นครศรีธรรมราช (Nakhon Si Thammarat) เมืองศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย
  3. เชียงใหม่ (Chiang Mai) เมืองหลวงเก่าของอาณาจักรล้านนา ที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมไว้ได้อย่างดีเยี่ยม
   4.อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา (Phra Nakhon Si Ayutthaya Historical Park) อดีตราชธานีของไทยที่ยิ่งใหญ่และรุ่งเรือง
   5.อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย (Sukhothai Historical Park) ราชธานีแห่งแรกของไทย ที่มีสถาปัตยกรรมและศิลปะอันงดงาม
 
การมีมรดกโลกเพิ่มขึ้นไม่เพียงแต่จะเป็นการประกาศศักดาและสร้างความภาคภูมิใจให้กับคนในชาติเท่านั้น แต่ยังเป็น "ซอฟต์พาวเวอร์" (Soft Power) ที่ทรงพลังในการส่งเสริมการท่องเที่ยว (Tourism Promotion) ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาเยือนประเทศไทยครับ

หน้าแรก » การเมือง

Top 5 ข่าวการเมือง