หลังไต่สวนผบ.เรือนจำ นัดแรกในคดี “ทักษิณ” รพ.ตำรวจ ทนายเผยศาลเริ่มมีแนวทางชัดเจน พร้อมเรียกพยานเพิ่ม 20 ปาก ด้านมติแพทยสภาถูกแยกประเด็นไม่เกี่ยวการไต่สวน

เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568   ที่ศาลฎีกา นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส. พรรคประชาธิปัตย์ และนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความส่วนตัวของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนภายหลังการนัดไต่สวนที่ศาลฎีกา กรณีการบังคับโทษจำคุกของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ไปรักษาตัวที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ 
 
นายชาญชัย กล่าวว่า การไต่สวนนัดแรกได้จบไป และจะมีคำสั่งอะไรออกมาอีกเยอะ แต่สรุปง่ายๆ ว่าศาลได้ไต่สวนทางราชทัณฑ์เกี่ยวกับข้อกฎหมายและวิธีการตรวจสอบร่างกายของรพ.ว่ามีขั้นตอนอย่างไร รวมถึงมีหมายเรียกพยาบาลและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และมีนัดไต่สวนเพิ่มอีก 6 นัด วันนี้ศาลให้ความเป็นธรรม และให้โอกาสทนายของจำเลย(ทักษิณ) และทำความเข้าใจจนครบถ้วน ศาลฯ ละเอียดมาก

อย่างไรก็ตามศาลฯ จะมีหมายออกมาทีหลังว่าเรียกใครบ้าง และศาลฯ จะนัดอีกที วันที่ 4, 8, 15, 18, 25 และ 30 กรกฎาคม ขณะที่วันนี้ยังไม่มีการพูดถึงนายทักษิณ 
 
ด้านนายวิญญัติ ให้สัมภาษณ์ว่า จากเดิมที่ไม่รู้ว่าศาลฯ จะดำเนินกระบวนการพิจารณาอย่างไร ตอนนี้มีความชัดเจนขึ้นในหลายส่วน จากที่ก่อนหน้านี้มีผู้ออกมาให้ความเห็นที่สาธารณะ มีการคาดการณ์ คาดคะแนไปต่างๆ นานา วันนี้ศาลฯ ได้กำหนดแนวทางอย่างเป็นรูปแบบ และชัดเจนแล้ว 

นายวิญญัติ กล่าวต่อไปว่า ในรายละเอียด ศาลได้ไต่สวนพยานหนึ่งปากซึ่งคือ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ คนปัจจุบัน ซึ่งศาลก็ให้เราทำตามกระบวนการปกติในศาลทางการเมือง แต่อย่างไรก็ดี ศาลก็ยังเห็นว่ามีข้อเท็จจริงอีกจำนวนพอสมควรที่ต้องแสวงหาจริง มาประกอบการวินิจฉัย เท่าที่ทราบคือมีพยานอีก 20 ปาก ที่ศาลจะเรียกเข้ามาไต่สวน ซึ่งก็เป็นไปตามลำดับวันเวลา นอกจากนี้ ศาลยังได้ให้โอกาสจำเลยในการแถลงขอพยานบุคคล เพื่อประกอบการชี้แจงต่อศาล ซึ่งเบื้องต้นศาลให้เขียนคำแถลงเข้าไป และจะพิจารณาอีกว่าจะอนุญาตหรือไม่ 

ในช่วงหนึ่งของการให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้ติดต่อนายทักษิณหรือยัง นายวิญญัติกล่าวตอบทันทีว่า “อันนี้ผมไม่ตอบคำถามครับ” เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่ออีกว่า การที่ศาลเรียกมติแพทยสภาเมื่อวานนี้ (12 มิถุนายน) จะส่งผลอย่างไรต่อคดีนี้  นายวิญญัติ กล่าวว่า สำหรับเรื่องแพทยสภาคนละประเด็นกับที่ศาลฯ ไต่สวน แพทยสภาเป็นเรื่องหมอกับหมอ ก็ว่ากันไป แพทยสภาก็เป็นแพทย์ใช้กระบวนการตามข้อบังคับของตนและก็มีเรื่องของจริยธรรมในการตรวจสอบการปฏิบัติ แต่แพทยสภาจะมีความชัดเจนหรือมีข้อเคลือบแคลงถึงความไม่เป็นกลางหรือนัยยะใดหรือไม่ ผมไม่มีความเห็น แต่ผมยืนยันว่าคนละกรณีกับที่ศาลฯ ไต่สวน 

“ผมเชื่อว่านายแพทย์ที่เป็นคนรักษาได้ใช้ดุลพินิจส่วนตัวของเขาในการวินิจฉัยร่างกายของผู้ป่วยและดุลพินิจเป็นเรื่องที่แพทย์แต่ละคนแตกต่างกันได้ ถ้าเป็นเรื่องที่ผิดจริยธรรมก็จะเป็นมาตรฐานให้เห็น ต่อไปแพทยสภาก็ต้องระวังตัวว่าการใช้ดุลพินิจหรือมติลงอย่างนี้มันจะเป็นมาตรฐานใหม่หรือไม่ ดังนั้นสรุปว่า แพทย์ 3 ท่านก็ยังมีสิทธิ์เรียกร้องความเป็นธรรมและต่อสู้ หรือยื่นศาลปกครองได้” นายวิญญัติ กล่าว