วันพุธ ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2568 11:14 น.

การเมือง

ศบ.ทก เผย พร้อมเดินหน้าแก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ เร่งตั้งหน่วยเฉพาะกิจต่อต้านคอลเซ็นเตอร์  ยันเขมรเดือดร้อนไม่ได้เกิดจากไทย

วันจันทร์ ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 19.38 น.

เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568 เวลา 18.00 น. วั ที่ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ นักการทูตไทย และ พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย แถลงผลการประชุมศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.)

โดยนายนิกรเดช กล่าวว่า รัฐบาลยังคงยืนยันว่าขณะนี้ด่านหรือจุดผ่านแดนถาวรทุกด่านยังคงเปิดทำการตามปกติ และจะมีการจำกัดการผ่านแดนให้บุคคลที่มีเหตุจำเป็น และจำกัดวันเวลาในการเข้าออก ซึ่งเป็นการบังคับใช้มาตรการขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 จากที่มีทั้งหมด 4 ขั้น ทั้งนี้ฝ่ายไทยจะเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพิจารณาความจำเป็นในการเพิ่มความเข้มข้น ในการใช้มาตรการต่าง ๆ โดยให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด สำหรับกรณีเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2568 ที่ผ่านมา กองทัพภาคที่ 2 ได้มีคำสั่งปรับมาตรการควบคุมจุดผ่อนปรนทางการค้าช่องสายตะกู จ.บุรีรัมย์ ซึ่งไม่ถือเป็นการปิดด่านที่เป็นจุดผ่านแดนถาวร หรือแม้แต่จุดผ่านแดนชั่วคราว เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องตนขอชี้แจงเรื่องการแบ่งประเภทจุดผ่านแดนซึ่งมีหลายประเภท ซึ่งจุดผ่อนปรนทางการ ตามที่ปรากฏในข่าวในมิติทางเศรษฐกิจเป็นช่องทางที่รัฐบาลเปิดเพื่อผ่อนปรนให้การค้าสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นเท่านั้น ซึ่งเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ของประชาชนในระดับท้องถิ่นและช่วยเหลือเพื่อนบ้านในด้านมนุษยธรรม การปรับมาตรการควบคุมที่จุดผ่อนปรนแห่งนี้เป็นมาตรการที่หน่วยทหารในพื้นที่ได้พิจารณาอย่างรอบคอบแล้วว่ามีความจำเป็นให้ดำเนินการจากการประเมินสถานการณ์ภาพรวมทางด้านความมั่นคงในพื้นที่ และเป็นมาตรการที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องแต่ก่อนเกิดเหตุการณ์ความตึงเครียดในปัจจุบัน

นายนิกรเดช กล่าวอีกว่า ตามนโยบายของรัฐบาลตามการป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติ ช่วยดูแลความปลอดภัยให้แก่ประชาชนในพื้นที่ ซึ่งรัฐบาลได้มอบอำนาจในการควบคุมจุดผ่านแดนทุกประเภทให้หน่วยทหารในพื้นที่ และเป็นการดำเนินการตลอดแนวชายแดนฝั่งตะวันออกของไทยทั้งหมด อีกประเด็น คือ ที่ผ่านมารัฐบาลไทยจริงจังกับการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะการหลอกลวงออนไลน์ ซึ่งทางการไทยได้แก้ปัญหาดังกล่าวเสมือนเป็นเจ้าภาพการประชุมสามฝ่าย ประกอบด้วย ไทย เมียนมา จีน ซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นที่น่าพอใจ พบการกระทำผิดน้อยลง และเหยื่อจำนวนมากได้รับความช่วยเหลือ แต่ปรากฏว่าปัญหาสแกมเมอร์ออนไลน์ได้เปลี่ยนพื้นที่มาอยู่ฝั่งตะวันออกของประเทศมากขึ้น โดยรัฐบาลไทยไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องนี้ และได้ติดตามอย่างใกล้ชิด รวมถึงได้ปราบปรามผู้กระทำความผิดและที่ผ่านมาได้ร่วมมือกับสำนักงานว่าด้วยยาเสพและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ

นายนิกรเดช กล่าวอีกว่า รวมทั้งการจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจต่อต้านอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ เพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะออนไลน์สแกมจึงถือเป็นความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของประชาชนบริเวณชายแดน ซึ่งฝ่ายไทยจะได้พิจารณามาตรการที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ต่อไป โดยเมื่อช่วงบ่ายวันนี้ทาง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือมาตรการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและได้ประกาศยกระดับการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยไทยอาสาเป็นศูนย์กลางในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและจะประสานความร่วมมือกับนานาประเทศและองค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง ซึ่งนอกเหนือจากการจำกัดบุคคลและวันเวลาเปิดปิดด่านที่ได้บอกไปข้างต้นแล้ว รัฐบาลจะดำเนินมาตรการอย่างเข้มข้นขึ้น อาทิ การระงับอินเตอร์เน็ต และการระงับการส่งออกสินค้าที่เกื้อหนุนต่อกิจกรรมของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ ดังนั้นจากนี้ไป ศบ.ทก. จะเชื่อมโยงกับการปราบปรามข้ามชาติกับการบริหารสถานการณ์ชายแดนในภาพรวม

นายนิกรเดช กล่าวอีกว่า ในส่วนของนโยบายที่เกี่ยวข้องกับแรงงานกัมพูชานั้น ทางการไทยจะดูแลสวัสดิการของแรงงานกัมพูชาตามกฏหมาย และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และขอยืนยันว่าไทยไม่มีนโยบายผลักดันแรงงานกัมพูชาออกนอกราชอาณาจักร แต่จะให้เป็นไปตามความสมัครใจของแรงงาน หากแรงงานตัดสินใจจะเดินทางกลับประเทศย่อมเป็นสิทธิและเสรีภาพของแรงงานเอง โดยทางการไทยได้เตรียมแผนรองรับสำหรับภาคเอกชนไว้แล้ว โดยการนำแรงงานสำรองจากประเทศอื่นเข้ามาทดแทน เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง ขอย้ำอีกครั้งว่าแรงงานกัมพูชายังคงสามารถทำงานในไทยได้ตามปกติ

นายนิกรเดช กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ที่ผ่านมาฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตาม MOU 2543 อย่างเคร่งครัด ไม่ได้เป็นไปตามข้อกล่าวหาที่ว่าฝ่ายไทยละเมิด MOU 2543 ตามที่ปรากฏในสื่อออนไลน์ อย่างไรก็ดีหากฝ่ายใดเห็นว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งละเมิด MOU 2543 ก็สามารถใช้กลไกทวิภาคีในการเจรจา เพื่อแก้ไขปัญหาได้ เช่น ประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) และ การประชุมชายแดนส่วนภูมิภาค (อาร์บีซี) ซึ่งจะช่วยสร้างความเข้าใจร่วมกัน และลดความตึงเครียดที่มีอยู่

นายนิกรเดช กล่าวอีกว่า สุดท้ายขอย้ำว่าฝ่ายไทยยังคงมั่นที่จะดำเนินการลดความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ผ่านกลไกทวิภาคี ในขณะเดียวกันเราจะเพิ่มความเข้มข้นในการดำเนินมาตรการเพื่อปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งอาจจะมีผลกระทบทางอ้อมต่อประชาชนทั้ง 2 ฝ่าย ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติเป็นประเด็นที่ไม่สามารถแก้ไขได้โดยประเทศใดประเทศหนึ่งเพียงลำพัง โดยที่ผ่านมามีการหารือแนวทางการแก้ไขปัญหานี้ในกรอบความร่วมมือระดับอนุภูมิภาค ดังนั้นฝ่ายไทยจึงหวังอย่างยิ่งว่ากัมพูชาจะยังคงให้ความร่วมมือในการต่อสู้กับภัยคุกคามนี้ เพื่อแสดงความรับผิดชอบร่วมกันต่อประชาชนของทั้งสองประเทศ

ด้าน พล.ร.ต. กล่าวว่า ในสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาได้ทวีความตึงเครียดขึ้นอย่างมีนัยยะ จากวิกฤตการณ์ล่าสุดของกำลังทหารกัมพูชาและการกระทำของบุคคลบางกลุ่มในพื้นที่ชายแดน ซึ่งได้รุกล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยของไทย ทั้งในลักษณะการเดินลาดตระเวนแบบติดอาวุธ การดัดแปลงที่มั่นทางทหาร และการกระทำที่สื่อถึงความพยายามยั่วยุ โดยเฉพาะในบริเวณประสาทตาควาย รวมถึงการปิดจุดผ่านแดนฝ่ายเดียวโดยไม่มีการหารือล่วงหน้า ประเทศไทยตระหนักถึงความละเอียดอ่อนของสถานการณ์และยืนยันว่าฝ่ายไทยยึดมั่นในหลักสันติวิธีมาโดยตลอด และมีความมุ่งมั่นที่จะคลี่คลายปัญหาทั้งหมดด้วยกระบวนการเจรจาแบบทวิภาคี บนพื้นฐานของความเคารพต่ออธิปไตยและความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน

พล.ร.ต. กล่าวอีกว่า ในขณะเดียวกันไทยยังคงมองประชาชนชาวกัมพูชาเป็นมิตรเสมอมา โดยเราเข้าใจและแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่าพฤติกรรมที่สร้างความตึงเครียดในขณะนี้เป็นผลจากนโยบายหรือคำสั่งของผู้นำระดับสูงบางคน ซึ่งไม่ได้สะท้อนถึงเจตจำนงค์ของประชาชนโดยรวมจากสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงต่อการกระทบกระทั่งจนบานปลาย อย่างไรก็ตาม ศบ.ทก. หรือทีมไทยแลนด์ ได้ตัดสินใจดำเนินมาตรการคุมเพิ่มเติมในบางพื้นที่บริเวณแนวชายแดน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกองกำลังป้องกันชายแดนครอบคลุม 7 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด

พล.ร.ต. กล่าวอีกว่า ทั้งนี้เพื่อให้สามารถดูแลความสงบเรียบร้อยและดูในเรื่องของความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที รวมทั้งมุ่งป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติในพื้นที่ชายแดน ซึ่งรวมถึงเครือข่ายหลอกลวงประชาชนผ่านระบบคอลเซ็นเตอร์,การฟอกเงิน,การค้ามนุษย์, การลักลอบขนแรงงานผิดกฎหมาย และยาเสพติด โดยมาตรการควบคุมชายแดนที่กำหนดโดยศูนย์ ศบ.ทก. มีทั้งหมด 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1.การจำกัดบุคคลที่สามารถเข้าออกในพื้นที่ 2.การจำกัดเวลาเปิดจุดผ่านแดน 3.การปิดจุดผ่านแดนบางจุด 4.การปิดจุดผ่านแดนตลอดแนวชายแดน

พล.ร.ต. กล่าวอีกว่า ในขณะนี้ได้มีการดำเนินการเฉพาะขั้นที่1-2 เท่านั้น โดยยังไม่มีการปิดด่านหรือจุดผ่านแดนถาวร แล้วจะมีการประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดก่อนการดำเนินมาตรการในขั้นต่อไป นอกจากนี้รัฐบาลไทยได้รับทราบว่ารัฐบาลกัมพูชาได้มีการประกาศงดซื้อน้ำมันจากประเทศไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนชาวกัมพูชาในหลายพื้นที่ ทั้งนี้ ขอเรียนว่าประเทศไทยไม่ได้มีนโยบายห้ามขายน้ำมันให้กัมพูชาแต่อย่างใด ประเด็นดังกล่าวที่เกิดขึ้นในเวลาที่ผ่านมาเป็นเพียงการแสดงความเห็นจากภาคส่วนต่างๆ และจากบางสื่อเท่านั้น ไม่ใช่ข้อเท็จจริงหรือนโยบายของรัฐบาลไทย

”จึงขอเรียนชี้แจงไปยังพี่น้องประชาชนชาวกัมพูชาว่า ความเดือดร้อนที่ท่านประสบอยู่ในขณะนี้ไม่ได้เกิดจากมาตรการของฝ่ายไทย แต่เป็นผลจากการตัดสินใจของฝ่ายรัฐบาลกัมพูชาเอง และขอเรียกร้องให้ฝ่ายรัฐบาลกัมพูชาดูแลความปลอดภัยรวมถึงปกป้องคุ้มครองชุมชนไทยในกัมพูชา “ พล.ร.ต. กล่าว

พล.ร.ต. กล่าวอีกว่า ซึ่งประเทศไทยยังคงยึดมั่นในหลักไมตรี มองประชาชนกัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านที่มีสายสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความจริงใจของฝ่ายไทยจะนำไปสู่การเจรจาและการคืนความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดนโดย อีกทั้งขอให้ประชาชนมั่นใจว่าทุกการดำเนินการของฝ่ายไทยอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายยึดหลักแห่งสันติ สติ และความรอบคอบไม่ตอบโต้ด้วยความรุนแรงแต่ยืนหยัดปกป้องศักดิ์ศรีของชาติอย่างสง่างาม ทั้งนี้ขอขอบคุณประชาชนชาวไทยที่ติดตามสถานการณ์ด้วยความห่วงใยและขอทุกภาคส่วนร่วมมือกันรักษาความสงบและรัฐบาลจะยืนเคียงข้างประชาชนและไม่ให้สถานการณ์ใดๆมาบั่นทอนศักดิ์ศรีของแผ่นดินไทย

หน้าแรก » การเมือง