วันศุกร์ ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2568 06:14 น.

การเมือง

"แอมเนสตี้" เปิดรายงาน "กัมพูชา" ล้มเหลวแก้ปัญหา"ค้ามนุษย์-แก๊งคอลฯ" 

วันพฤหัสบดี ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 14.00 น.

"แอมเนสตี้" เปิดรายงาน "กัมพูชา" ล้มเหลวแก้ปัญหา"ค้ามนุษย์-แก๊งคอลฯ"  ขณะที่ "บิ๊กหวาน"เผย กัมพูชาเมินปราบแก๊งคอล-ฟันเจ้าของตึกปอยเปต  ทางด้าน ตร.ไซเบอร์เปิดแคมเปญ “รีบโอนโจรยิ้ม” ชวนคนไทย “Strike Back” โต้กลับภัยแก๊งคอลฯ  

เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2567 องค์กรนิรโทษกรรมสากล หรือ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (Amnesty International) เผยแพร่รายงาน Cambodia: 'I was someone else's property': slavery, human trafficking and torture in Cambodia's scamming compounds โดยระบุว่า ในรายงานฉบับนี้ แอมเนสตี้ฯ ได้บันทึกวิกฤติสิทธิมนุษยชนที่น่าตกใจซึ่งเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมการหลอกลวงในกัมพูชาตั้งแต่ปี 2565 โดยระบุแหล่งหลอกลวงอย่างน้อย 53 แห่งซึ่งเคยเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนขึ้นหรือยังคงเกิดขึ้นอยู่ รวมถึงการค้ามนุษย์ การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายอื่นๆ

การใช้แรงงานบังคับ แรงงานเด็ก การกีดกันเสรีภาพและการเป็นทาส และรายงานฉบับนี้ แอมเนสตี้ฯ ยังแสดงให้เห็นรูปแบบของพฤติกรรมของรัฐที่ล้มเหลวซึ่งทำให้เกิดการละเมิดที่ร้ายแรงขึ้น การตอบสนองที่ไม่มีประสิทธิภาพอย่างน่าเวทนาของรัฐบาลและการไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีในการป้องกันและสอบสวนวิกฤตการหลอกลวงอย่างเหมาะสมแสดงให้เห็นถึงการยอมรับและชี้ให้เห็นถึงการสมรู้ร่วมคิดในการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้น

รายงานฉบับดังกล่าว เผยแพร่แผนที่ที่ระบุเมืองต่างๆ ในกัมพูชา ซึ่งเป็นที่ตั้งฐานปฏิบัติการอุตสาหกรรมการหลอกลวง (การฉ้อโกงทางโทรคมนาคม หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์) โดยชี้ว่า การค้ามนุษย์ การบังคับใช้แรงงาน การบังคับใช้แรงงานเด็ก การทรมานและการทารุณกรรมอื่นๆ การกีดกันเสรีภาพ ตลอดจนการค้าทาสกำลังดำเนินการอย่างเป็นขนาดใหญ่ในวงกว้าง

"สิ่งสำคัญคือ มีการพบว่าในขณะที่ผู้กระทำความผิดหลักของการละเมิดนี้เป็นองค์กรอาชญากรรม รัฐกัมพูชาประสบความล้มเหลวอย่างร้ายแรงในการดำเนินมาตรการที่เพียงพอเพื่อหยุดยั้งการละเมิดสิทธิมนุษยชนอันแพร่หลายนี้ แม้ว่าจะได้รับแจ้งเกี่ยวกับการละเมิดดังกล่าวในหลายกรณีอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ตาม ความล้มเหลวของรัฐในการปฏิบัติตามภาระผูกพันและความรับผิดชอบทางกฎหมายระหว่างประเทศ มีความเสี่ยงที่จะนำไปสู่การมีส่วนร่วมในการละเมิดสิทธิมนุษยชนเหล่านี้" รายงานของแอมเนสตี้ฯ ระบุ

สามารถอ่านรายงานได้ที่นี่ (มีให้เลือกดาวน์โหลด 3 ภาษา คืออังกฤษ ไทยและจีน) https://www.amnesty.org/en/documents/asa23/9447/2025/en .

(Amnesty International) แผนที่แสดงการกระจายของฐานปฏิบัติการอุตสาหกรรมหลอกลวงในกัมพูชา วงกลมที่ใหญ่กว่าบ่งชี้พื้นที่ที่มีฐานตั้งอยู่กันหนาแน่นกว่า เช่น สีหนุวิลล์ที่มี 22 แห่ง ในขณะที่วงกลมเล็กๆ แสดงเมืองที่สามารถยืนยันศูนย์สแกมเมอร์ได้เพียง 1 หรือ 2 แห่งเท่านั้น

"บิ๊กหวาน"เผย กัมพูชาเมินปราบแก๊งคอล-ฟันเจ้าของตึกปอยเปต 

พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) ในฐานะ ผอ.ศปอส.ตร. กล่าวถึงสถานการณ์หลังการปิดด่าน และการตัดระบบโทรคมนาคมในพื้นที่ชายแดนกัมพูชาส่งผลให้แนวโน้มการหลอกลวงทางไซเบอร์ ว่ามีแนวโน้มลดลง โดยพบว่าปัจจุบันการหลอกลวงทางไซเบอร์ หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีประเทศกัมพูชาเป็นที่ตั้งฐานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นอันดับ 1 ซึ่งปัจจุบันได้มีการสกัดกั้นทางภาคพื้น คือตามพื้นที่แนวชายแดน และระบบโทรคมนาคมต่างๆไปในระดับหนึ่ง ซึ่งเห็นได้ชัดจากการโทรศัพท์เข้ามาหลอกลวงซึ่งสัญญาณอินเตอร์เน็ตจะถูกตัดบ่อยครั้ง เป็นผลมาจากการตัดระบบโทรคมนาคมของบริเวณชายแดนกัมพูชา

ซึ่งประเทศไทยเตรียมดำเนินการทางคดีกับเจ้าของตึก 25 ชั้น และ18 ชั้น ที่ปอยเปต ประเทศกัมพูชา ฐานปฏิบัติการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการขยายผลไปถึงเจ้าของตึกทั้ง 2 หลัง เพื่อเอาผิดทางคดีคอลเซ็นเตอร์ต่างๆที่เกี่ยวข้อง ยอมรับที่ผ่านมาไม่ค่อยได้รับความร่วมมือจากประเทศกัมพูชา ในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่ และเมื่อมีสถานการณ์ความตึงเครียดที่ชายแดน ก็ยังไม่ได้มีการติดต่อกับทางตำรวจกัมพูชา หรือทางการของกัมพูชาในการประสานข้อมูลในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์

พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวว่า ส่วนความเป็นไปได้ในการขอความร่วมมือประเทศกัมพูชา ในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต้องรอดูสถานการณ์ของทั้ง 2 ประเทศอีกครั้งหนึ่ง สำหรับการขยายผลไปถึงกลุ่มทุนเทาต่างๆที่เชื่อมโยงกับกัมพูชา โดยเฉพาะกลุ่มฮุยวัน กรุ๊ป ตำรวจมีข้อมูลในระดับหนึ่งว่ามีบุคคลใดเกี่ยวข้องกับบริษัทดังกล่าวบ้าง แต่ยังไม่มีพยานหลักฐานชัดเจนว่าบริษัทดังกล่าวเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง แม้จะมีข้อมูลจากสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNODC เรื่องการตั้งฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์และเส้นทางการเงิน ก็ยังไม่เพียงพอที่จะใช้ดำเนินคดีทางกฎหมายได้ จึงต้องแสวงหาพยานหลักฐานอื่นๆเพิ่มเติม เพราะบริษัทดังกล่าวไม่ได้มีการตั้งฐานอยู่ในประเทศไทย

ส่วนกรณีที่ฑูตสหรัฐเข้าพบนายกรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ (25 มิ.ย.) พล.อ.อ.ธัชชัย กล่าวว่า พร้อมให้ความร่วมมือในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยเตรียมประสานขอข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางการเงินของแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มเครือข่าย และผู้เกี่ยวข้องต่างๆมาใช้ประกอบในการดำเนินคดี รวมถึงการจับตาดูผู้ที่เดินทางเข้าออกประเทศบริเวณชายแดนที่กำลังมีปัญหาว่าจะมีบุคคลใดที่มีหมายจับ หรือเป็นที่จับตามองของนานาชาติและตามหมายของประเทศไทยหรือไม่

ตร.ไซเบอร์เปิดแคมเปญ “รีบโอนโจรยิ้ม” ชวนคนไทย “Strike Back” โต้กลับภัยแก๊งคอลฯ  
 
เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานเปิดโครงการ “Thai Cyber Ranger” แคมเปญ “รีบโอนโจรยิ้ม” ชวนคนไทย "Strike Back” โต้กลับภัยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมี พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ , พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) , พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ทินกร รังมาตร์ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผบก.สอท.1 พล.ต.ต.ศิลา กาญจน์รักษ์ ผบก.ตอท. และ พล.ต.ต.สุรพงษ์ ไทยประเสริฐ ผบก.อก.บช.สอท. ร่วมกับ คุณตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.อิชิตัน กรุ๊ป, รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล รองอธิการบดี /ประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต, คุณสถาพร คิ้วสุวรรณสุข ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด และ คุณสุกัณณี เลิศสุขวิบูลย์ หัวหน้าสายงานธุรกิจต่างประเทศและบริการดิจิทัล บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น , อินฟลูเอนเซอร์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าว ณ ห้องศรียานนท์ อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. ในนามกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ตำรวจไซเบอร์ ได้ร่วมกับ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) , บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด, บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน), มูลนิธิพระราหู, บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน), บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) และภาคเอกชนต่างๆ ได้ร่วมกันเปิดโครงการรณรงค์ ภายใต้ชื่อแคมเปญ “รีบโอนโจรยิ้ม” จุดประสงค์เพื่อชวนคนไทย "Strike Back” โต้กลับภัยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยโครงการดังกล่าวกำหนดจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป

แคมเปญ “รีบโอนโจรยิ้ม” อยู่ภายใต้โครงการ “Thai Cyber Ranger” ที่ได้ถือกำเนิดขึ้นภายใต้แนวคิดอันสะท้อนภาพของภัยใกล้ตัวในยุคดิจิทัลอย่างชัดเจน เปรียบเสมือนการเตือนสติประชาชนให้รู้เท่าทันเล่ห์กลของมิจฉาชีพในโลกไซเบอร์ เพื่อมุ่งเน้นการสร้างภูมิคุ้มกันทางดิจิทัล ให้ประชาชนสามารถดำรงชีวิตบนโลกออนไลน์ได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัย รู้เท่าทันกลลวงอันซับซ้อนที่ซ่อนอยู่หลังหน้าจอ โดยมีเป้าหมายสำคัญที่สุดคือ ประชาชนปลอดภัย ไม่โอนเงินให้มิจฉาชีพ โดยวัตถุประสงค์หลักของโครงการนี้ คือ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ให้ประชาชนระวังตัวก่อน “คลิก” ทุกครั้ง , กล้าตั้งคำถามก่อน “เชื่อ” ทุกข้อความ , ใช้วิจารณญาณก่อน “โอน” ทุกบาท โดยการกระตุ้นให้ตระหนักถึงภัยคุกคามทางเทคโนโลยีที่อาจเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงเวลาของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการใช้โทรศัพท์มือถือ การใช้งานโซเชียลมีเดีย หรือการทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์

นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวยังปลูกฝังจิตสำนึกแห่งความระมัดระวังให้ประชาชน ด้วยการรู้จักตั้งข้อสงสัยเมื่อได้รับข้อความ โทรศัพท์ หรือการติดต่อจากบุคคลที่ไม่รู้จัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผู้ที่แอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หน่วยงานทางกฎหมาย หรือสถาบันทางการเงิน ซึ่งในหลายกรณีมักใช้เทคนิคการโน้มน้าวทางจิตวิทยา การใช้เทคโนโลยีปลอมแปลงขั้นสูง เช่น Deepfake และการส่งลิงก์ปลอมหลอกให้เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว โดยโครงการนี้ตั้งเป้าหมายเข้าถึงประชาชนไม่น้อยกว่า 10 ล้านคนในช่วง 2 เดือนแรก และคาดว่าสามารถช่วยลดจำนวนคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่มีมูลค่าความเสียหายไม่เกิน 1 ล้านบาท (ซึ่งปัจจุบันคิดเป็นกว่า 90% ของคดีทั้งหมด) ได้ไม่น้อยกว่า 10% ภายในสิ้นปีนี้

โครงการ “Thai Cyber Ranger” มีกิจกรรมรณรงค์ด้วย 2 ช่องทางหลัก ได้แก่

1. ช่องทางออนไลน์ (Online Campaign) โดยผู้ร่วมแคมเปญร่วมกันเผยแพร่คลิปวิดีโอเตือนภัย, อินโฟกราฟิก, และกิจกรรมออนไลน์ในรูปแบบ Challenge ผ่านแพลตฟอร์มยอดนิยม เช่น Facebook, TikTok, Instagram, YouTube และ Threads โดยใช้ Influencer จากหลายสาขา เป็นผู้ถ่ายทอดเนื้อหาเตือนภัยในรูปแบบสร้างสรรค์ พร้อมด้วยการติดแฮชแท็ก #รีบโอนโจรยิ้ม และสโลแกนเตือนสติ “รีบโอน = โจรยิ้ม”

2. ช่องทางออฟไลน์ (On-Ground Campaign) โดยผู้ร่วมแคมเปญร่วมกันจัดแสดงสื่อประชาสัมพันธ์ตามจุดยุทธศาสตร์ เช่น จอ LED บนรถไฟฟ้า BTS/MRT และสื่อภายในร้าน 7-Eleven กว่า 15,000 สาขาทั่วประเทศ พร้อมกิจกรรมภาคสนามในพื้นที่ชุมชน เช่น การจัดนิทรรศการ บรรยายความรู้ การแจกสื่อเตือนภัยไซเบอร์ เป็นต้น

นอกจากนี้ ภายในงานเปิดตัว ยังมีการจัดเสวนา “รู้ทันภัยไซเบอร์” นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท., คุณตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.อิชิตัน กรุ๊ป,รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล รองอธิการบดี ประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต, คุณสถาพร คิ้วสุวรรณสุข ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด และคุณสุกัณณี เลิศสุขวิบูลย์ หัวหน้าสายงานธุรกิจต่างประเทศและบริการดิจิทัล บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น โดยมี ประวีณมัย บ่ายคล้อย ผู้ประกาศข่าวชื่อดังเป็นผู้ดำเนินรายการ พร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์จริงจากผู้ที่เคยตกเป็นเหยื่อ และยังมีการจัด Workshop จำลองสถานการณ์หลอกลวงแบบต่างๆ เพื่อให้ประชาชนสามารถสังเกต "Red Flag" หรือ สัญญาณอันตรายได้อย่างแม่นยำ
 

หน้าแรก » การเมือง