วันจันทร์ ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 09:54 น.

การเมือง

กต.ชี้แจงท่าทีเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จัดระเบียบโลกไซเบอร์ ทำคู่มือแนวตอบโต้ตามกฎหมายระหว่างประเทศ

วันอาทิตย์ ที่ 06 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 13.25 น.

เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2568  กระทรวงการต่างประเทศขอชี้แจงข้อมูล ข้อคิดเห็นและท่าทีเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ดังนี้

1.รัฐบาลไทยยึดมั่นในการแก้ไขปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชาอย่างสันติวิธี ตามพันธกรณีที่ทั้งสองฝ่ายได้มีต่อกันตามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543) มาโดยตลอด ซึ่งได้ระบุไว้ชัดเจนว่าทั้งสองฝ่ายจะต้องเจรจาหารือกันในกรอบทวิภาคี โดยใช้กลไกคณะกรรมาธิการร่วมชายแดน (JBC) อันเป็นไปตามแนวทางที่สอดคล้องตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศและกฎบัตรสหประชาชาติทุกประการ

2.ตามกฎหมายระหว่างประเทศ ภาคีของความตกลงที่เป็นสนธิสัญญา จะต้องปฏิบัติตามสิ่งที่ได้ลงนามไว้ โดยบันทึกความเข้าใจ ไทย- กัมพูชา ระบุให้แก้ไขปัญหาโดยการเจรจาหารือโดยคณะกรรมาธิการร่วมชายแดน (JBC) ไม่ได้มีส่วนใดที่ระบุว่าให้ใช้กลไกอื่น รวมทั้งศาลโลก (ICJ) ซึ่งประเทศไทยได้ยึดมั่นในพันธกรณีของความตกลงไทย-กัมพูชาดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ดังนั้น ประเทศไทยจึงไม่ได้เป็นฝ่ายละเมิดพันธกรณีที่มีไว้ต่อกันไว้ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ โดยไม่ได้ไปใช้กลไกอื่นนอกเหนือจากที่เคยได้ตกลงกันไว้

3.ในการแก้ไขปัญหาเขตแดนกับประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ประเทศไทยได้ใช้แนวทางการเจรจาทวิภาคีโดยกลไก JBC หรือกลไกที่เทียบเคียงได้กับ JBC เช่นเดียวกัน ซึ่งล้วนแต่มีความคืบหน้าเป็นที่น่าพึงพอใจ โดยการเจรจาเขตแดนทางบกระหว่างกับมาเลเซียและลาวได้สำเร็จไปแล้วกว่า 90% ซึ่งเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าการเจรจาทวิภาคีและกลไกดังกล่าว สามารถนำมาใช้ให้เห็นผลได้ หากมีความตั้งใจจริงและจริงใจในการดำเนินการ โดยไม่ต้องพึ่งกลไกภายนอกเช่น ICJ และนอกจากไทยแล้ว วิธีการเจรจาทวิภาคีนี้เป็นวิธีการเดียวกับที่ประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ของกัมพูชา ใช้ในการแก้ไขปัญหาเขตแดนกับกัมพูชาเช่นกัน

4.ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลไทยจึงเรียกร้องให้กัมพูชาปฏิบัติตามพันธกรณีที่ให้ไว้ อันเป็นการเคารพกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสนธิสัญญาอันเป็นพื้นฐานของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐอย่างเคร่งครัด ด้วยการเคารพและปฏิตามสิ่งที่ได้ตกลงกันไว้ กล่าวคือ การเจรจาทวิภาคีเพื่อแก้ไขปัญหาเขตแดนทั้งหมดตลอดแนวโดยใช้กลไก JBC ซึ่งรวมถึงพื้นที่ขัดแย้ง 4 จุด ที่ฝ่ายกัมพูชายังไม่ยินยอมนำเข้าหารือการเจรจาในกรอบดังกล่าวด้วย อันถือได้ว่าเป็นการละเมิดข้อตกลงตามบันทึกความเข้าใจปี 2000 ที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าต้องทำการสำรวจ และจัดทำหลักเขตแดน (demarcation) ทั้งหมดร่วมกัน ภายใต้กลไก JBC โดยไม่เอาเรื่องปัญหาเขตแดนไปสู่กลไกอื่นที่ไม่ได้ตกลงกันไว้

5.ประเทศไทยเฝ้ารอกัมพูชาซึ่งมีกำหนดเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม JBC มานานกว่า 12 ปี และได้เรียกร้องให้มีการประชุมฯ อยู่เสมอ ก่อนที่ JBC ครั้งล่าสุดจะได้มีขึ้น เมื่อวันที่ 14-15 มิถุนายนที่ผ่านมา ประเทศไทยจึงขอปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ไม่ถูกต้องว่า ไทยเป็นฝ่ายที่ทำให้กระบวนการ JBC ต้องหยุดชะงัก เพราะไทยเองไม่เคยถอนตัวจากกระบวนการดังกล่าวแต่เรียกร้องมาโดยตลอด ดังนั้น ไทยขอเรียกร้องให้กัมพูชาเคารพในพันธกรณีที่มีระหว่างกัน ที่จะเจรจาหารือกันโดยสันติวิธี ก่อนจะพึ่งพากลไกอื่นซึ่งอยู่นอกเหนือไปจากวิธีการที่ได้ตกลงกัน เพื่อยุติปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ตลอดแนวตลอดไป และป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นซ้ำซากในอนาคต กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และประชาชนทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดนทั้งสองฝั่ง

6.ประเทศไทยยึดสันติวิธี และกฎหมายระหว่างประเทศด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต บริสุทธิ์ใจ และมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการสร้างพื้นที่ตามแนวชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชากับประเทศเพื่อนบ้าน ให้กลายเป็นพื้นที่พรมแดนสันติภาพ มิตรภาพ ความร่วมมือ และการพัฒนา เพื่อความเป็นอยู่ที่ดี ชีวิตที่มั่นคง เจริญก้าวหน้าของพี่น้องประชาชนอยู่ตามแนวชายแดนทั้งสองฟากฝั่ง

ไทยจัดระเบียบโลกไซเบอร์ ทำคู่มือแนวตอบโต้ตามกฎหมายระหว่างประเทศ 

กระทรวงการต่างประเทศยังได้จัดทำและเผยแพร่ท่าทีของประเทศไทยในประเด็นการปรับใช้และตีความกฎหมายระหว่างประเทศในมิติไซเบอร์ (Thailand’s National Position on the Application of International Law in Cyberspace) โดยเอกสารฉบับดังกล่าวเป็นผลลัพธ์จากกระบวนการปรึกษาหารือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย ได้แก่ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ กรมพระธรรมนูญ กรมเทคโนโลยีสารสนเทศและอวกาศกลาโหม กรมการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศทหารเรือ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพลังงาน กระทรวงคมนาคม ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล

เอกสารฉบับนี้ได้ระบุแนวทางการตีความหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่สามารถนำมาปรับใช้ในบริบทของไซเบอร์ อาทิ หลักอธิปไตยของรัฐ หลักการไม่แทรกแซงกิจการภายใน หลักการไม่ใช้กำลัง หลักการระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธี หลักความรับผิดชอบของรัฐ ฯลฯ ซึ่งเป็นการบรรจุท่าทีของประเทศไทยต่อการปรับใช้กฎหมายระหว่างประเทศในปัจจุบัน และเปิดช่องให้มีการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมท่าทีดังกล่าวให้สอดคล้องกับพัฒนาการการหารือระหว่างประเทศ และการพัฒนาของเทคโนโลยีในอนาคตได้

การจัดทำท่าทีนี้ เป็นการดำเนินการเพื่อตอบสนองต่อข้อเรียกร้องตามรายงานการประชุมประจำปีของการประชุม Open – ended Working Group (OEWG) on security of and in the use of information and communication technologies (2021-2025) ที่สนับสนุนให้ประเทศต่าง ๆ เผยแพร่ท่าทีประเทศ เรื่องการปรับใช้กฎหมายระหว่างประเทศในมิติไซเบอร์ รวมถึงสนับสนุนการเสริมสร้างขีดความสามารถด้านกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันเรื่องการปรับใช้กฎหมายระหว่างประเทศ ในมิติไซเบอร์ ซึ่งอาจนำไปสู่การยกร่างตราสารที่มีผลบังคับทางกฎหมายต่อไป โดยปัจจุบันมีประเทศต่าง ๆ จำนวน 32 ประเทศ และ 2 องค์การระหว่างประเทศที่สามารถจัดทำท่าทีประเทศร่วมกันได้ ได้แก่ สหภาพแอฟริกา สหภาพยุโรป

ด้วยเหตุนี้ การจัดทำเอกสารดังกล่าวจะช่วยในการจัดระเบียบโลกไซเบอร์ด้วยกฎหมายระหว่างประเทศ และจะเป็นเสมือนกับเอกสารคู่มือเบื้องต้นให้กับหน่วยงานของไทย เพื่อประกอบเป็นข้อพิจารณาการดำเนินการตอบโต้ปฏิบัติการทางไซเบอร์ รวมถึงสร้างกรอบการปฏิบัติการทางไซเบอร์ของหน่วยงานไทยให้สอดคล้องตามกฎหมายระหว่างประเทศอีกด้วย
 

หน้าแรก » การเมือง