วันอังคาร ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 13:01 น.

การเมือง

ชงวุฒิสภาถกแนวทางแก้ไขปัญหาวิกฤตศรัทธาในพระพุทธศาสนา 22 ก.ค.นี้

วันอาทิตย์ ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 11.18 น.

พระพุทธศาสนาในประเทศไทยดำรงอยู่ควบคู่กับวิถีชีวิตคนไทยมาอย่างยาวนาน มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาศีลธรรม จริยธรรม และจิตสำนึกสาธารณะในสังคม

อย่างไรก็ตามในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้เกิดวิกฤตศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากพฤติกรรมของพระสงฆ์บางรูปที่ละเมิดพระธรรมวินัย และกระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย จนสร้างความเสื่อมเสียต่อภาพลักษณ์ของคณะสงฆ์ และความเชื่อมั่นของพุทธศาสนิกชนในวงกว้าง

บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่ก่อให้เกิดวิกฤตศรัทธาในพระพุทธศาสนา และนำเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยอิงจากกรณีศึกษาและข้อเสนอของคณะกรรมาธิการวุฒิสภาด้านศาสนา

ปัญหาที่ส่งผลต่อวิกฤตศรัทธา
จากการแสดงความเห็นโดยนางเอมอร ศรีกงพาน สมาชิกวุฒิสภา และประธานคณะกรรมาธิการด้านศาสนา วุฒิสภา ได้ชี้ให้เห็นว่า ปัญหาสำคัญที่ส่งผลต่อความเสื่อมศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา ได้แก่:

พฤติกรรมละเมิดพระธรรมวินัยของพระสงฆ์บางรูป
พระสงฆ์บางรูป โดยเฉพาะผู้มีสถานะเป็นพระสังฆาธิการหรือพระราชาคณะ มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม เช่น การมีเพศสัมพันธ์ การสะสมทรัพย์สินฟุ่มเฟือย การลักลอบใช้เงินวัดในทางส่วนตัว และการคบหาสตรีเพื่อแสวงหาผลประโยชน์

ขาดบทบัญญัติกฎหมายที่ชัดเจนและมาตรการลงโทษ
ปัจจุบันยังไม่มีบทบัญญัติที่ห้ามมิให้พระสะสมทรัพย์สินส่วนตัว หรือควบคุมระบบการเงินของวัดอย่างรัดกุม ขณะเดียวกัน พระที่ล่วงละเมิดพระธรรมวินัย แม้จะพ้นสภาพจากความเป็นพระ (อาบัติปาราชิก) แต่ก็ยังสามารถใช้สถานะทางศาสนาแสวงหาประโยชน์ได้โดยไม่ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

การบกพร่องของกลไกกำกับดูแลภายในคณะสงฆ์
การขาดระบบตรวจสอบบัญชีวัดและการไม่มีไวยาวัจกรในบางวัด ทำให้การบริหารจัดการทรัพย์สินขาดความโปร่งใส นำไปสู่การทุจริตและใช้อำนาจในทางมิชอบ

ผลกระทบของวิกฤตศรัทธา
ต่อพุทธศาสนิกชน
ความเชื่อมั่นในหลักธรรมคำสอนลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนและคนรุ่นใหม่ที่มีความตื่นตัวทางสังคมสูง ส่งผลให้เกิดความลังเลในการเข้าวัด ฟังธรรม หรือปฏิบัติศาสนกิจตามประเพณี

ต่อภาพลักษณ์ของพระพุทธศาสนา
พฤติกรรมไม่เหมาะสมของพระบางรูป กลายเป็นภาพแทนของสงฆ์ทั้งคณะในสื่อออนไลน์และความรับรู้ของสาธารณชน ส่งผลให้ศาสนาพุทธถูกตั้งคำถามด้านจริยธรรมและความศักดิ์สิทธิ์

แนวทางแก้ไขวิกฤตศรัทธา
1. การปฏิรูปกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
แก้ไขหรือเพิ่มเติมกฎหมาย เช่น ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 208 ให้สามารถดำเนินคดีพระสงฆ์ที่พ้นจากสมณเพศโดยอัตโนมัติหากกระทำอาบัติปาราชิก

กำหนดข้อห้ามและบทลงโทษกรณีสะสมทรัพย์สินหรือใช้จ่ายเงินวัดในทางมิชอบ

จัดตั้งองค์กรอิสระในการตรวจสอบการเงินของวัด โดยแยกออกจากระบบคณะสงฆ์

2. การเสริมสร้างธรรมาภิบาลในคณะสงฆ์
ปรับโครงสร้างการบริหารคณะสงฆ์ให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้

กำหนดให้วัดทุกแห่งต้องมีไวยาวัจกรที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ทำหน้าที่ดูแลและจัดการการเงินอย่างมืออาชีพ

3. การใช้มาตรการทางสื่อและการสื่อสารศาสนา
ผลิตสื่อธรรมะที่เข้าใจง่าย ทันสมัย และเข้าถึงคนรุ่นใหม่

ส่งเสริมบทบาทพระสงฆ์ผู้มีความประพฤติดีเป็นแบบอย่างในสังคม

4. การมีส่วนร่วมของประชาชนและชุมชน
ส่งเสริมบทบาทของคฤหัสถ์ในการตรวจสอบและให้ข้อเสนอแนะแก่วัด

เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นของพุทธศาสนิกชนในการวางนโยบายพุทธศาสนา

ดังนั้น วิกฤตศรัทธาในพระพุทธศาสนาไม่ได้เกิดจากพระสงฆ์ทั้งหมด แต่เกิดจากพระบางรูปที่กระทำผิดซ้ำซาก และระบบที่ไม่สามารถป้องกันหรือแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที ดังนั้น การฟื้นฟูศรัทธาจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างรัฐ คณะสงฆ์ และประชาชนในการปฏิรูปเชิงโครงสร้างและวางมาตรการควบคุมที่เข้มงวด ควบคู่กับการส่งเสริมพระผู้มีความประพฤติชอบให้เป็นที่ยึดเหนี่ยวใจแก่พุทธศาสนิกชนต่อไป ขณะนี้ญัตติอยู่ระหว่างการบรรจุเข้าเป็นวาระ และคาดว่าจะพิจารณาได้ทันในวันที่ 22 ก.ค.นี้
 

หน้าแรก » การเมือง

ข่าวในหมวดการเมือง