วันจันทร์ ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 03:33 น.

การเมือง

 วิเคราะห์ความจริงใจหยุดยิงของกัมพูชาหลังจากรับปากทรัมป์   

วันอาทิตย์ ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 11.44 น.

บทความนี้วิเคราะห์ท่าทีของประเทศกัมพูชาในประเด็นการหยุดยิงบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ภายหลังจากได้รับการประสานผ่านทางประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้ทั้งสองฝ่ายยุติความขัดแย้ง

แต่พบว่าฝ่ายกัมพูชายังคงดำเนินการทางทหารต่อเนื่องจนส่งผลกระทบต่อประชาชนและเสถียรภาพความมั่นคงชายแดน บทความนี้ชี้ให้เห็นถึงความไม่สอดคล้องระหว่างคำมั่นสัญญาทางการทูตกับพฤติกรรมทางทหารของกัมพูชา ตลอดจนข้อเสนอในการดำเนินการตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อรับมือกับพฤติกรรมดังกล่าว

1. บทนำ
ในบริบทของความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งปะทุขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2568 หลังจากช่วงเวลาสงบชั่วคราว ได้เกิดเหตุการณ์การยิงข้ามพรมแดนหลายระลอก โดยเฉพาะช่วงเช้ามืดของวันที่ 27 กรกฎาคม 2568 ทั้งที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลกัมพูชาได้ตอบรับข้อเสนอจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ให้มีการหยุดยิงระหว่างสองประเทศ ความย้อนแย้งระหว่างคำมั่นและพฤติกรรมนี้ ทำให้เกิดคำถามด้านความจริงใจของกัมพูชาในกระบวนการสันติภาพ

2. ความย้อนแย้งของพฤติกรรมกัมพูชา: คำมั่น vs. การกระทำ
จากถ้อยแถลงของ พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุชัดเจนว่าหลังการหารือกับประธานาธิบดีทรัมป์เมื่อเวลา 23.00 น. กัมพูชายังคงใช้อาวุธโจมตีฝั่งไทยในเวลา 02.00 น. ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไม่สอดคล้องระหว่างคำรับปากทางการทูตกับพฤติกรรมเชิงปฏิบัติ อันอาจตีความได้ว่าเป็นการเจตนาผิดสัญญา หรือมีปัจจัยภายในกัมพูชาที่ทำให้คำมั่นจากฝ่ายบริหารไม่สามารถบังคับใช้จริงได้

3. ผลกระทบต่อพลเรือนและความมั่นคงของรัฐไทย
การปฏิบัติการทางทหารของกัมพูชาไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเป้าหมายทางยุทธศาสตร์เท่านั้น หากยังครอบคลุมถึงพื้นที่พลเรือน ซึ่ง พลเอกณัฐพลระบุว่า มีการยิงปืนใหญ่ตกใส่พื้นที่ชุมชนถึง 3 นัด แม้ไม่มีผู้เสียชีวิตเนื่องจากการอพยพทันเวลา แต่ก็สร้างความหวาดกลัวและความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชน เหตุการณ์ลักษณะนี้อาจเข้าข่ายการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอนุสัญญาเจนีวาและอนุสัญญาออตตาวา

4. ข้อพิจารณาด้านกฎหมายระหว่างประเทศ: การยื่นฟ้องต่อ ICC
ข้อเสนอในการนำตัวนายกรัฐมนตรีฮุนเซนขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court: ICC) ในฐานะผู้กระทำความผิดฐานอาชญากรรมสงคราม เป็นประเด็นที่ถูกกล่าวถึง โดยฝ่ายความมั่นคงไทยโยนให้เป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศพิจารณา กรณีนี้ถือว่ามีน้ำหนัก เนื่องจากมีพยานหลักฐานเบื้องต้น เช่น การเล็งเป้าหมายพลเรือน การวางกับระเบิดหลังการถอนกำลัง (8 มิถุนายน) และการใช้อาวุธหนักยิงระยะไกลโดยไม่แยกแยะเป้าหมาย

5. ไทยในฐานะประเทศประชาธิปไตยกับกลไกการตัดสินใจแบบมีส่วนร่วม
รัฐบาลไทยแสดงความชัดเจนว่าไม่สามารถตัดสินใจแบบเฉียบพลันได้ เนื่องจากต้องฟังเสียงประชาชนและดำเนินการผ่านกลไกประชาธิปไตย ซึ่งต่างจากกัมพูชาที่มีลักษณะการตัดสินใจแบบรวมศูนย์อำนาจในคนเพียง 2–3 คน บทบาทของรัฐมนตรีต่าง ๆ ในการประชุม การทวีตเพื่อฟังเสียงประชาชน และการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกองทัพกับรัฐบาล สะท้อนถึงความโปร่งใสและความพยายามสร้างความชอบธรรมในการตัดสินใจเชิงนโยบาย

6. ประเด็นด้านยุทโธปกรณ์และความพร้อมของกองทัพไทย
จากคำให้สัมภาษณ์ของ พลเอกณัฐพล แสดงให้เห็นว่า ไทยมีข้อจำกัดด้านการจัดซื้ออาวุธ เนื่องจากงบประมาณถูกจำกัด และยึดหลัก “ป้องกันมากกว่ารุกราน” ขณะที่กัมพูชามีระบบอาวุธหนักถึง 6 ระบบ ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำด้านขีดความสามารถทางการทหาร ซึ่งต้องนำกลับมาทบทวนในระดับนโยบายและการจัดสรรงบประมาณให้สมดุลกับภัยคุกคาม

7. บทสรุปและข้อเสนอแนะ
การวิเคราะห์พฤติกรรมของกัมพูชาหลังรับปากหยุดยิงต่อผู้นำสหรัฐฯ ชี้ให้เห็นถึงความไม่จริงใจหรือขาดความสามารถในการควบคุมกลไกทางทหารของตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ ความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อพลเรือนอาจเข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม และควรได้รับการพิจารณาผ่านกลไกของ ICC อย่างรอบคอบ พร้อมกันนี้ ประเทศไทยควรพัฒนาศักยภาพเชิงนโยบาย การทูต และการทหารในลักษณะที่เน้นหลักสันติวิธีแต่ไม่ลดทอนศักยภาพในการปกป้องอธิปไตยและประชาชน]
 
 

หน้าแรก » การเมือง