วันพุธ ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 22:11 น.

การเมือง

วิเคราะห์กรณีเขมรไม่หยุดยิงหลังเจรจากับไทยที่มาเลเซีย

วันอังคาร ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 09.34 น.

สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาในปี 2568 ทวีความตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง แม้ผู้นำทั้งสองประเทศได้มีการเจรจาสันติภาพที่มาเลเซีย โดยมีประเทศมาเลเซียเป็นผู้ประสานงานกลาง (mediator) และได้รับการสนับสนุนจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติและอาเซียน

อย่างไรก็ตาม ภายหลังการเจรจา ฝ่ายกัมพูชายังไม่ยุติการยิงหรือการเคลื่อนไหวทางทหารในพื้นที่พิพาท ส่งผลให้เกิดคำถามถึงความจริงใจของกระบวนการสันติภาพ และปัจจัยที่ขับเคลื่อนให้กัมพูชายังคงใช้กำลังทหารแม้มีข้อตกลงเบื้องต้น

1. บริบทของการเจรจาที่มาเลเซีย
การเจรจาไทย-กัมพูชาที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มีวัตถุประสงค์เพื่อยุติความขัดแย้งบริเวณชายแดน โดยเฉพาะพื้นที่พิพาทใกล้ปราสาทพระวิหาร และเส้นเขตแดนทับซ้อนในเขตจังหวัดศรีสะเกษและสุรินทร์ แม้ทั้งสองฝ่ายต่างแสดงความปรารถนาจะลดความรุนแรง แต่ยังไม่มีการลงนามในข้อตกลงหยุดยิงอย่างเป็นทางการ มีเพียงแถลงการณ์ร่วมที่มีลักษณะของ “soft agreement” หรือข้อตกลงไม่เป็นทางการ

2. ปัจจัยที่ทำให้กัมพูชายังไม่หยุดยิง

2.1 ความไม่ไว้ใจไทยและกระบวนการเจรจา
กัมพูชามีท่าทีไม่เชื่อมั่นว่าไทยจะเคารพข้อตกลงเจรจาอย่างจริงจัง อดีตของความขัดแย้งและการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลไทยบ่อยครั้ง ทำให้ฝ่ายกัมพูชาเห็นว่าไทยอาจเปลี่ยนท่าทีในอนาคต นอกจากนี้ กัมพูชายังอ้างว่าไทยยังคงมีกองกำลังในพื้นที่พิพาท ซึ่งเป็นการละเมิดจิตวิญญาณของการเจรจา

2.2 การเมืองภายในของกัมพูชา
รัฐบาลกัมพูชาในขณะนี้อยู่ภายใต้แรงกดดันจากฝ่ายค้านและกองทัพ จึงต้องแสดงท่าทีแข็งกร้าวเพื่อรักษาความนิยมในประเทศ การหยุดยิงโดยไม่เห็นผลเชิงรูปธรรม อาจถูกตีความว่าเป็นการยอมอ่อนข้อให้ไทย จึงเลือกดำเนินยุทธวิธีแบบ "เจรจาไป รบไป" เพื่อรักษาอำนาจการต่อรอง

2.3 กลยุทธ์ทางทหารและจิตวิทยา
การไม่หยุดยิงในบางแนวรบอาจเป็นกลยุทธ์กดดันไทยในเวทีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการยกระดับความขัดแย้งเพื่อเรียกร้องการแทรกแซงจากสหประชาชาติ หรือศาลโลก การกระทำเช่นนี้สะท้อนแนวทางที่กัมพูชาเคยใช้ในกรณีปราสาทพระวิหารในอดีต ที่พยายามสร้างสถานการณ์เพื่อผลักดันให้เกิดคำตัดสินระหว่างประเทศในทางที่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายตน

3. ผลกระทบของการไม่หยุดยิง

3.1 ต่อกระบวนการเจรจาสันติภาพ
การไม่หยุดยิงส่งผลให้ความน่าเชื่อถือของข้อตกลงเจรจาลดลง ทำให้ประชาคมโลกเริ่มตั้งคำถามถึงความจริงใจของคู่กรณี โดยเฉพาะกัมพูชา ซึ่งเป็นฝ่ายไม่ยุติการใช้กำลัง แม้จะได้ประโยชน์จากภาพลักษณ์เชิงรุกในเวทีสากล

3.2 ต่อประชาชนชายแดน
การสู้รบอย่างต่อเนื่องทำให้ประชาชนในพื้นที่ชายแดนทั้งสองฝ่ายตกอยู่ในภาวะเสี่ยง ชีวิต ทรัพย์สิน และเศรษฐกิจชุมชนได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ส่งผลต่อความสัมพันธ์ของประชาชนชายแดนที่มีสายสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และการค้าขายมายาวนาน

3.3 ต่อความมั่นคงของอาเซียน
ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาที่ไม่สามารถคลี่คลายได้อย่างถาวร เป็นอุปสรรคต่อแนวคิด “อาเซียนไร้สงคราม” (Zone of Peace, Freedom and Neutrality) และลดทอนบทบาทของอาเซียนในฐานะกลไกแก้ไขปัญหาความมั่นคงภายในภูมิภาค

บทสรุป
กรณีกัมพูชาไม่หยุดยิงหลังการเจรจากับไทยที่มาเลเซียสะท้อนถึงปัจจัยหลายมิติที่ซับซ้อน ทั้งในระดับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การเมืองภายใน และกลยุทธ์ทางการทูต การแก้ไขสถานการณ์นี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลทั้งสองประเทศ อาเซียน องค์กรสันติภาพระหว่างประเทศ รวมถึงการเสริมสร้างบทบาทของภาคประชาสังคมเพื่อกดดันให้เกิดสันติภาพอย่างแท้จริง การเจรจาที่ไม่มีผลตามมาจากภาคปฏิบัติ ย่อมเป็นเพียงวาทกรรมที่ไม่สามารถหยุดยั้งความรุนแรงได้อย่างยั่งยืน


 

หน้าแรก » การเมือง