วันเสาร์ ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2568 14:46 น.

การเมือง

โฆษก ทบ.เผยทัพภาค 1 คุยกัมพูชาแล้ว ทภ. 2 อยู่ระหว่างประสานกำหนดวันเวลาที่เหมาะสม

วันอังคาร ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 11.38 น.

"บิ๊กเล็ก" ยันไม่มีใบสั่งรับเงื่อนไข"ฮุนมาเนต" เจรจาหยุดยิง ระบุ เป็นเงื่อนไขกองทัพไทยเสนอ ไม่รับปากหยุดปะทะเมื่อไหร่ รอกลไกหารือ ชี้ หาก"เขมร" ละเมิดข้อตกลง ทหารไทยตอบโต้แน่ ขอ ไม่ต้องกังวลรัฐบาลคำนึงถึงอธิปไตย- ผลประโยชน์ของชาติ

เมื่อวันที่ 29   กรกฎาคม 2568 เวลาประมาณ 11.05 น. พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยถึงความคืบหน้าการพบปะหารือระหว่างผู้บัญชาการหน่วยทหารระดับพื้นที่ของไทยและกัมพูชา ภายหลังข้อตกลงหยุดยิง โดยกล่าวว่า ได้รับรายงานว่าพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 1 ซึ่งประกอบด้วย กองกำลังบูรพา และกองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ได้ดำเนินการพบปะหารือร่วมกับฝ่ายกัมพูชาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ตาม สำหรับพื้นที่ของกองทัพภาคที่ 2 ในส่วนของกองกำลังสุรนารี ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการประสานงานเพื่อกำหนดวันและเวลาที่เหมาะสมของทั้งสองฝ่าย จึงยังไม่มีการหารือเกิดขึ้นในขณะนี้

โฆษกกองทัพบกยืนยันว่า หากมีความคืบหน้าเกี่ยวกับผลการหารือในรายละเอียด จะได้แจ้งให้สาธารณชนทราบต่อไป

"บิ๊กเล็ก" ยันไม่มีใบสั่งรับเงื่อนไข"ฮุนมาเนต" เจรจาหยุดยิง 

 ที่ทำเนียบรัฐบาล พลเอกณัฐพล นาคพานิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมให้สัมภาษณ์สถานการณ์การหยุดจริงในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ก็ขอให้เชื่อมั่นในฐานะที่ตนเองเคยรับราชการอยู่ในกองทัพบก ที่เคยเป็นเจ้ากรมยุทธการทหารบก รับผิดชอบในเรื่องของการวางแผนการรบ เป็นเสนาธิการทหารบก มาเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ  ปัจจุบันมาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมรับผิดชอบในระดับรัฐบาล การมองต้องมองทุกมิติ ก่อนที่ตนเองจะไปประชุม ได้มีการประชุมกับผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผบ.เหล่าทัพ เมื่อวานนี้ เวลาที่คิดว่ารับได้ คือ 18:00 น. แต่ทุกคนก็ยอมรับว่าหนักใจ เพราะฝ่ายกัมพูชาเคลื่อนย้ายกำลังเข้ามามาก แต่ก็รับได้ที่เวลา 18.00 น. โดยมีเงื่อนไข 7 ประการ ตามที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงไปในการหยุดยิง แต่เมื่อในที่ประชุมทางฝ่ายกัมพูชาขอ เวลาเที่ยงคืน จากการหารือก็พอรับได้ แต่ก็ห่วงใยว่าเป็นเวลากลางคืน ซึ่งได้มีข้อยุติที่เที่ยงคืนเพราะฉะนั้นอยากให้สื่อมวลชนและประชาชนเข้าใจว่าตนทำอะไรไม่ได้ทำคนเดียว ทำร่วมกับกองทัพ ตนเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เวลางานรัฐบาลตัวเองก็คุยกับรัฐบาล เวลาทำงานกับกองทัพก็คุยกับผบ.เหล่าทัพ 

ส่วนที่เดินทางไปมาเลเซีย ตนเองมีเงื่อนไขเวลาไว้ และเงื่อนไขหลังจากหยุดยิง 7 ข้อ และมีการพูดในที่ประชุม ทั้งสองฝ่ายก็ตอบรับร่วมกัน มาเลเซียเป็นพยานรวมถึงสหรัฐและจีน แต่เงื่อนไขเหล่านั้นจะเกิดตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ไม่ได้เป็นการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค(RBC) เต็มรูปแบบ เป็นการได้ให้แม่ทัพทั้งสองฝ่ายพูดกัน ซึ่งทั้ง 7 ข้อมีอยู่ 1 ข้อที่ไม่ต้องคุยคือ สุดท้ายแล้วต้องเข้ามาสู่กระบวนการประชุมคณะกรรมการชายแดนร่วมระหว่างประเทศ (JBC) เงื่อนไขที่กองทัพบกขอมามี 6 ข้อ ที่จะมอบให้แม่ทัพภาคที่ 2 และแม่ทัพภาคที่ 1 นำไปพูดคุย จนกว่าจะได้ข้อยุติจึงจะเข้าสู่การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา(GBC) ยืนยันต้องมีการคุยกันต่อไป 6 ข้อ จะจบเดือนหน้าหรือไม่ก็ไม่รู้ อย่างน้อยการหยุดยิงทำให้ประชาชนไม่ได้รับผลกระทบจนกระทั่งเสียชีวิต ปัจจุบันประชาชนเสียชีวิต 14 ราย บาดเจ็บ 48 ราย ส่วนกองทัพปัจจุบันเสียชีวิตไป 12 ราย บาดเจ็บ 160 กว่าราย มีพิการขาขาด 4 ราย และ 4 รายเป็นกำลังหลักของครอบครัว ตนเองเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมต้องคิดทุกอย่าง คิดถึงการสูญเสียที่เกิดขึ้น แต่ระดับผู้บัญชาการทหารสูงสุดผู้บัญชาการเหล่าทัพ จะคิดแบบนี้ไม่ได้ ตนต้องคิดแตกต่างจากผบ.เหล่าทัพ อยากให้สังคมเข้าใจในเรื่องนี้ ปัจจุบันมีทั้งประชาชนพลเรือนเสียชีวิต 

ส่วนก่อนไปเจราจาที่มาเลเซียได้มีการคุยกับผบ.เหล่าทัพ ว่า การหยุดยิงจะคืบหน้าได้เร็วหรือไม่ เพราะเราบอกได้ว่าอาจจะคืบหน้าได้ไม่เท่าไหร่ อยากเรียนว่าฝ่ายกัมพูชาปฏิบัติการครั้งนี้ ได้ฝากให้กระทรวงการต่างประเทศ ช่วยประนามด้วย เรื่องแรก คือไม่สนใจเป้าหมายพลเรือนในบ้านเรายิงแม้กระทั่งบ้านประชาชน โรงเรียน โรงพยาบาล 2.คือ กัมพูชาตั้งยิงอาวุธหนักในหมู่บ้าน ใช้ประชาชนชาวกัมพูชาเป็นโล่ ซึ่งเรื่องนี้ผิดหลักอนุสัญญาเจนีวา
ผิดอนุสัญญาออตตาวา 

"เพราะฉะนั้นถ้าการสั่งตนบอกว่าเรายังไม่หยุดยิงเดินหน้าต่อ ก็จะมีลูกน้องตนขาขาดเพิ่มขึ้น เพราะในยามนี้เราจะรีบเร่งรัดไม่ได้ ถ้าเร่งรัดเมื่อไหร่ จะเกิดทหารที่ขาขาดเพิ่มขึ้น วันละรายสองวันราย พูดง่ายๆเป็นเรื่องที่เจ็บปวดต้องนึกถึงครอบครัวของเขา ก็จะเห็นว่าแต่ละคนที่สูญเสีย มีร่างกายแข็งแรง หน้าตาดี อายุยังน้อยแต่ขาขาดแล้ว ถ้าเป็นลูกท่านเป็นสามีท่าน ท่านจะรู้สึกอย่างไร" พลเอกณัฐพล กล่าว 

พลเอกณัฐพล กล่าวต่อว่า แต่ผบ.เหล่าทัพจะคิดอย่างนี้ไม่ได้โดยระดับนโยบายต้องคิด ว่าทางเลือกมีหรือไม่ อย่างน้อยการหยุดยิงประชาชนก็ไม่เสียชีวิต แต่การหยุดยิงจริงต้องมีเงื่อนไขต่อไปที่จะมาคิดในระดับรัฐบาล ในหลายมิติ เพราะฉะนั้นการที่ตนเองร่วมยอมรับเมื่อวานนี้ เราทำภายใต้นโยบายรัฐบาล ในด้านการต่างประเทศ เศรษฐกิจ ทำทุกมิติเราต้องชั่งน้ำหนัก ขอให้ทุกคนไม่ต้องกังวล ต่อมาคือห่วงใยน้องประชาชน และต้องคำนึงถึงความรู้สึกประชาชนในส่วนที่เหลือด้วย ที่อยากจะให้ทหารทำอะไรที่มากกว่านี้ 

สุดท้ายที่ตนห่วงคือห่วงลูกน้อง เสียชีวิตปัจจุบันสูงถึง160 แล้ว ทั้ง 3 ข้อเป็นสิ่งที่ตนคิดอยู่และต้องยอมรับการตัดสินใจในปัจจุบัน และหลังจากนั้นจะต้องมาคุยเงื่อนไขกันกลไก rbc แบบไม่เต็มคณะ แบบไม่เป็นทางการ โดยแม่ทัพจะเลือกคนที่เกี่ยวข้อง 2-3 คน จนกว่าจะได้ข้อยุติที่เป็นทางการ เพราะฉะนั้นต้องใช้เวลา หลังจาก RBC จบก็ต่อ GBC ซึ่งมีตนเป็นประธานฝ่ายไทย 

"ยืนยันว่าหลังจากหยุดยิง วันนี้ไม่ใช่สัปดาห์หน้ามานั่งกินข้าวด้วยกัน เตะตะกร้อด้วยกัน มีการแลกเปลี่ยนการเยือนไม่ใช่แบบนั้น ต้องอีกสักระยะซึ่งตนบอกไม่ได้ ว่าเมื่อไหร่ ยืนยันว่ารัฐบาลและกองทัพคำนึงถึงอธิปไตย ผลประโยชน์ของชาติ อยากให้ทุกคนสบายใจได้" พลเอก ณัฐพล กล่าว

เมื่อถามว่าเหตุใดการเจรจาเมื่อวานนี้ถึงไม่ยื่นเงื่อนไขปรับกำลังทั้งสองฝ่ายและถอนอาวุธจนกว่าจะหยุดยิง  พลเอกณัฐพล กล่าวว่า ขอบคุณที่ถาม แสดงว่าสังคมก็คิดเหมือนกับสื่อมวลชนที่ยังไม่เข้าใจ ในเวทีอย่างนั้นจะมานั่งคุยรายละเอียดอย่างนี้ ต้องให้แม่ทัพไปคุย แม่ทัพก็จะรู้ว่าอาวุธหนัก จรวดไหลลำกล้อง ปืนใหญ่ รถถัง ปืนเล็กๆ อาวุธต่างๆในพื้นที่มีจำนวนมากอะไรจะเคลื่อนไหวอย่างไร รวมถึงกองกำลังต้องมีการลงรายละเอียดกัน จะให้เวทีนั้นมาคุยกันเรื่องนี้ ถ้าตนเองไปคุยก็จะกลับมาด่าอีกว่าทำไมไม่ถามกองทัพ ถึงให้กองทัพคุย ให้มีส่วนร่วมถ้ากองทัพยังคุยไม่จบก็คือไม่จบ อาจจะมีการยิงกันใหม่ได้

ทั้งนี้พลเอกณัฐพล ยอมรับว่าไม่ได้เชื่อใจกัมพูชาว่าจะหยุดยิง เมื่อวานในที่ประชุมได้พูดกันตรง ๆ ว่าเราอยากได้ความเชื่อมั่นไว้วางใจ ถ้าตนเองอยู่ตรงนี้แล้วตกลงอะไรไปแล้วไม่ปฏิบัติตาม ตนเองก็คงไม่ทราบ จึงให้กองทัพเป็นคนคุยและดูว่าทำตามนั้นหรือไม่ หากไม่ทำตามข้อตกลงก็ต้องรายงานมา เป็นกระบวนการมอบความรับผิดชอบในสิ่งที่กองทัพต้องรับผิดชอบ ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าฝ่ายการเมืองตกลงหยุดยิงกันแล้ว  แต่ฝ่ายทหารยังตกลงไม่ได้ ต้องอยู่กันแบบนี้ต่อไป ไม่ใช่หยุดยิงอย่างแท้จริง 

“เขายิงมาเรายิงไป เมื่อเช้าอนุญาตแล้ว ตอบโต้กันไป  ไม่ใช่เราหยุดยิง เขาไม่หยุดยิงก็นั่งรอให้เขายิง ท่านคิดว่าผมสั่งแบบนี้หรือ” พลเอกณัฐ กล่าว

เมื่อถามว่า ทำไมการเจรจาถึงไม่มีเงื่อนไขออกมา อย่างน้อยให้ปรับกำลังทั้งสองฝ่าย เอาอาวุธหนักออก ก็จะเป็นผลดี พลเอกณัฐพล ย้อนถามว่า การปรับกำลังเอาอะไรออกก่อนหรือหลัง เป็นเรื่องที่ในพื้นที่ต้องไปพูดคุย

เมื่อถามย้ำว่า การที่ไปพูดคุยและไม่มีเงื่อนไข เป็นไปตามที่ ฮุน มาเน็ต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ต้องการ พลเอกณัฐพล ยิ้มก่อนจะตอบว่า ไม่มีเงื่อนไขได้อย่างไร ตอนนี้ได้มอบให้กองทัพไปคุย ตามเงื่อนไขที่ได้กำหนดมา ขอให้กองทัพบกเป็นผู้แถลง ว่าจะมีเงื่อนไขอะไรบ้าง

เมื่อถามว่า แต่ขนะนี้ยังไม่มีการหยุดยิง การประชุม RBC ก็เลื่อนไป พลเอกณัฐพล กล่าวว่า แม่ทัพเขาคุยกันอยู่ ตนได้บอกไปว่า ให้คุยกันไปจนกว่าจะรู้เรื่อง ไม่รู้เรื่องก็คุยกันไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเค้ายิ่งมา ก็ต้องยิงตอบโต้ไป ไม่ใช่เราหยุดจริง เขายิงมาก็นิ่งเฉย ต้องทำไปทั้งสองอย่าง

เมื่อถามว่า แล้วจะเจรจาหยุดยิงไปเพื่ออะไร พลเอกณัฐพล กล่าวว่า หากไม่หยุดยิงจะแรงกว่านี้ เป็นการยิงโดยใช้ปืนเล็ก อาวุธไม่ใหญ่ หากมีการใช้อาวุธติดลำกล้อง และฝ่ายเรามีการใช้กำลังกองทัพ จะเป็นการละเมิดที่ทำให้ต่างชาติเห็น แต่หากกัมพูชาใช้เราก็จะไม่หยุด ไม่ต้องเป็นห่วง จะมีการตอบโต้ที่สมน้ำสมเนื้อ และสมเหตุสมผล เพื่อแสดงเจตนารมย์ให้นานาชาติเห็นว่า ประเทศไทยเคารพสังคมโลก และกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งต้องเป็นไปตามขั้นตอน ยืนยันว่าเราไม่ได้ไป เกี๊ยะเซียะกับใครทั้งสิ้น ยึดผลประโยชน์ของชาติ

พลเอกณัฐพล ยืนยันว่า ไม่มีใบสั่งจากใคร คนอย่างตนไม่ได้หวังเติบโตทางการเมือง พอจบภารกิจ เขาไม่ให้ทำ ตนก็กลับบ้านมีความสุข ไม่ต้องเจอใครด่า แต่เมื่อทำภารกิจก็ต้องทำให้ดีที่สุด ยึดผลประโยชน์ของชาติ ฉะนั้น ตนไม่สนใจเรื่องใบสั่ง จะเอาเกียรติยศมาแลกกับตรงนี้ทำไม ตนเป็นทหารมาทั้งชีวิตก็เพียงพอแล้ว ขอสื่อมวลชนไม่ต้องเป็นห่วง

พลเอกณัฐพล กล่าวว่า สำหรับประชาชนในพื้นที่ อยากให้ฟังกระทรวงมหาดไทย ในฐานะที่ดูแลประชาชน เราประเมินสถานการณ์กับกองทัพ หากหยุดยิงอย่างชัดเจน กระทรวงมหาดไทยคงเคลื่อนย้ายประชาชนกลับ หากเป็นลักษณะนี้คงรออีกซักระยะ ส่วนกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังจะเข้าไปดูแลผู้ประกอบการในพื้นที่ตามแนวชายแดน ตนได้แจ้งไปทางรัฐบาล ว่าต้องดูแลประชาชนและผู้ประกอบการ ไม่ใช่ปล่อยให้กองทัพและกระทรวงกลาโหมปฏิบัติการอย่างเพียงลำพัง รวมถึงขอให้กระทรวงการต่างประเทศมาช่วยด้วย ย้ำว่าพื้นที่สีแดงยังไม่ปลอดภัย ประชาชนยังไม่สามารถเคลื่อนย้ายกลับไปได้ ขอให้ทางการประเมินสถานการณ์ก่อน

เมื่อถามว่า ยังมีการกระทบกระทั่งในพื้นที่กันอยู่ ฝ่ายกัมพูชาใครเป็นผู้ตัดสินใจ พลเอกณัฐพล กล่าวว่า ตรงนั้นไม่ทราบ เราไม่ต้องไปสนใจฝ่ายกัมพูชา ขอให้สนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
 

หน้าแรก » การเมือง