เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2568 นางสาวชญาภา สินธุไพร รองโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวความคืบหน้ามาตรการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ยืนยันพรรคเพื่อไทยทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานราชการอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ความช่วยเหลือเข้าถึงประชาชนอย่างเป็นธรรมและทั่วถึง โดยจะไม่ยอมให้ใครถูกทอดทิ้งจากมาตรการเยียวยาของรัฐ

ด้านการปราบปรามยาเสพติด น.ส.ชญาภา ระบุว่า ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ได้สั่งการบูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้เกิดผลลัพธ์ชัดเจน ทั้งการยึดยาไอซ์กว่า 2,100 กิโลกรัม ในเชียงใหม่ นราธิวาส และเลย รวมถึงจับกุมยาบ้ากว่า 2 ล้านเม็ดที่จังหวัดแพร่ พร้อมเดินหน้านำนโยบาย “No Drug No Dealers” และ “8 Quick Win 3 ไร้ทุกข์ 5 สร้างสุข” ลงสู่พื้นที่

เธอกล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลเพื่อไทยต้องการไม่ใช่เพียงสถิติการจับกุม แต่คือ KPI จากประชาชน โดยวัดจากการที่ครอบครัวได้ลูกหลานกลับคืนจากยาเสพติด และสังคมเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นจริง “หากประชาชนยังไม่รู้สึกว่า ปัญหายาเสพติดบรรเทาลง รัฐบาลจะไม่หยุดเดิน”

ชี้แจงเหตุปิดประชุมสภา 21 ส.ค.
น.ส.ชญาภา ยังกล่าวถึงกรณีการปิดประชุมสภาเมื่อ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา ว่าเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนระหว่างวิปฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ไม่ได้มีเจตนาหลีกเลี่ยงการพิจารณาญัตติ MOU 43–44 ตามที่ฝ่ายค้านวิจารณ์ พร้อมเสนอว่าฝ่ายค้านสามารถยื่นญัตติใหม่ได้ และเชื่อว่าสภาพร้อมพิจารณา

ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยย้ำจุดยืนยึดหลักการและข้อเท็จจริง โดย MOU 43 เป็นเพียงกรอบความร่วมมือจัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) เพื่อสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ไม่ใช่การกำหนดเขตแดนใหม่ ขณะที่ MOU 44 เป็นกรอบการเจรจาทางทะเลและการพัฒนาพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน ซึ่งสอดคล้องกับแนวปฏิบัติสากล

“การยกเลิก MOU โดยไม่ประเมินผลกระทบ อาจทำให้ไทยสูญเสียกลไกการเจรจา และเปิดทางให้บุคคลที่สามเข้ามามีอำนาจชี้ขาดในปัญหาดินแดน” รองโฆษกพรรคเพื่อไทยระบุ พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายทำงานบนพื้นฐานข้อมูลข้อเท็จจริง มากกว่าการใช้เวทีการเมืองเพื่อโจมตีรัฐบาล

เธอย้ำว่า พรรคเพื่อไทยพร้อมปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของชาติ แต่ปฏิเสธความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อสร้างกระแสความเกลียดชังในสังคม