วันอังคาร ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2568 03:44 น.

การเมือง

‘ชลน่าน’  อภิปรายนโยบายรัฐบาล หวั่นสภาสีน้ำเงิน รับจบทำรัฐธรรมนูญ ซ้ำรอย ‘ฮั้ว ส.ว.’  ตั้งฉายา ‘รัฐบาลอนุวิน-เนทิน-หนูเน’

วันจันทร์ ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2568, 10.57 น.

4 เดือนยุบคดี 4 หายนะ ‘ชลน่าน’ อภิปรายนโยบายรัฐบาล หวั่นสภาสีน้ำเงิน รับจบทำรัฐธรรมนูญ ซ้ำรอย ‘ฮั้ว ส.ว.’ ตั้งฉายา ‘รัฐบาลอนุวิน-เนทิน-หนูเน’ เสียดายปัดตกนโยบายที่มีประโยชน์ ของรัฐบาลก่อน เสมือนการสร้างหายนะทางโอกาสของประชาชน

เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568   นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย กล่าวเปิดอภิปรายนโยบายรัฐบาลเป็นคนแรกของพรรคเพื่อไทย โดยกล่าวถึงภาพรวมนโยบายทั้ง 4 ด้านของรัฐบาลอนุทินในกรอบเวลา 4 เดือนว่าไม่อาจนำไปสู่ทางออกของประเทศ แต่จะกลายเป็นปัญหามากกว่าทางออกของประเทศครับ และไม่ใช่ปัญหาธรรมดา แต่เข้าขั้นหายนะ 

ประการแรก ต่อประชาธิปไตยไทย รัฐบาลภูมิใจไทยพูดมาโดยตลอดว่าจะผลักดันให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่สิ่งที่สังคมเห็นอาจเรียกว่าเป็น ‘สัญญาลมปาก’ จึงอยากใช้โอกาสนี้ผลักดันให้พรรคประชาชน ในฐานะพรรคการเมืองที่ร่วมเซ็น MoA ร่วมกันผลักดันและเรียกร้องให้รัฐบาลเดินหน้าอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการทำให้วุฒิสภายืนยันว่า จะสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และหากสิ่งนี้ไม่เกิดขึ้นจริง ประเทศไทยยังคงต้องถูกแช่แข็งต่อไป 

อย่างไรก็ตามนายแพทย์ชลน่าน อภิปรายอีกประเด็นคือระบบการเลือก สว. แบบใหม่ที่นำมาใช้ครั้งเดียวในปี 2567 จนกลายเป็นต้นตอของปัญหา เพราะออกแบบมาให้การ นัดแนะ ตกลง แลกเปลี่ยนคะแนน ระหว่างผู้สมัครสามารถทำได้โดยไม่ผิดกฎหมาย จนการเกิดกลุ่ม สว. ที่คนทั้งประเทศขนานนามว่าเป็น ‘สว.สีน้ำเงิน’ ขึ้นมา โดยหลัง สว. ชุดนี้เข้าปฏิบัติหน้าที่พบว่ามีการลงมติไปในทิศทางเดียวกันซ้ำๆ โดยเฉพาะในประเด็นที่สอดคล้องกับพรรคภูมิใจไทย สะท้อนให้เห็นถึงเครือข่ายทางการเมืองที่ผูกพันกันอย่างเหนียวแน่นระหว่างสภาสูงกับพรรคการเมือง 

และที่น่าเป็นกังวลต่อระบอบประชาธิปไตยคือ การไต่สวนของ DSI และ กกต. ที่ระบุว่ามีผู้เกี่ยวข้องรวม 229 คน ในจำนวนนี้เป็นกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทยและผู้ใกล้ชิดถึง 91 คน ซึ่งหากการสอบสวนแล้วเสร็จครบขั้นตอน กกต.มีสิทธิยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อยุบพรรคภูมิใจไทยได้ในอนาคต เช่นนี้แล้วเราคงพูดได้เองด้วยซ้ำว่า พรรคภูมิใจไทยในฐานะแกนนำรัฐบาลนี้ คือ หายนะต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นหายนะต่อระบอบประชาธิปไตยอีกทีหนึ่ง เช่นนี้จะให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นได้อย่างไรครับว่านโยบายนี้จะไม่ใช่แค่ลมปากมาหลอกลวงประชาชน และทำให้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญยิ่งยุ่งยากมากขึ้น กลายเป็นวิกฤตประชาธิปไตยมากยิ่งไปกว่าเดิม  
 
ประการต่อมา หายนะเรื่องความโปร่งใสและหลักนิติรัฐนิติธรรม นายแพทย์ชลน่านตั้งข้อสังเกตเรื่องการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี ที่มีฐานที่มั่นใน ‘บุรีรัมย์’ สะท้อนปัญหาเรื่อง ‘การใช้ฐานอำนาจท้องถิ่นและเครือข่ายการเมือง’ มากกว่าการคัดสรรบุคคลตามความสามารถและมาตรฐานจริยธรรมที่ควรเป็น โดยช่วงหนึ่งได้ตั้งฉายารัฐบาลครั้งนี้ว่าเป็น ‘รัฐบาลอนุวิน-เนทิน-หนูเน’

และหลายคนยังขาด ‘ความโปร่งใสและความชอบด้วยกฎหมาย’ เช่น ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่เคยต้องโทษคดียาเสพติดในออสเตรเลีย แม้ศาลรัฐธรรมนูญปี 2564 จะตีความว่าไม่ขาดคุณสมบัติตามกฎหมายไทย แต่สังคมยังตั้งคำถามถึง ‘มาตรฐานจริยธรรม’ ของการแต่งตั้งเข้ารับตำแหน่ง นับเป็นความขัดแย้งกับแนวนโยบายที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศไว้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องที่ดินเขากระโดง คดีฮั้วสว. ที่ยังไม่ได้รับการสะสาง รัฐบาลที่มีประเด็นเรื่องความโปร่งใสเช่นนี้ จะบริหารประเทศได้อย่างไร? 

ประการที่สาม การขาดความสามารถในการบริหารประเทศ ซึ่งหลายปัญหาที่ประกาศจะแก้ไข เป็นปัญหาที่ท่านเคยละเลยและอาจเป็นผู้สร้างปัญหาไว้เสียเอง โดยเฉพาะการเข้ารับตำแหน่งทั้งที่ท่านได้รับสมญานามจากสื่อต่างประเทศว่าเป็น Cannabis King ซึ่งนายอนุทินได้รับในครั้งดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประกาศปลดล็อก กัญชา กัญชงออกจากบัญชียาเสพติด เปิดทางให้ประชาชนปลูกและใช้ได้ แม้จะตั้งเจตนารมณ์ว่าเพื่อการแพทย์และสุขภาพ แต่เมื่อดำเนินจริงกลับพบว่ากัญชาถูกใช้ในเชิงสันทนาการอย่างแพร่หลาย ขณะที่กฎหมายควบคุมกลับยังล่าช้า เต็มไปด้วยช่องโหว่ และขาดมาตรการคุ้มครองเยาวชนอย่างเป็นรูปธรรม สร้างปัญหาทางสังคมและสาธารณสุขที่ยังคงเป็นประเด็นถกเถียงและต้องแก้กฎหมายต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน 

ประการสุดท้าย ซึ่งสิ่งที่น่าเสียดายที่สุด คือ ‘หายนะทางโอกาสของประชาชน’ หลายโครงการที่พี่น้องประชาชนได้ประโยชน์กลับถูกหยุดชะงัก ไม่ว่าจะเป็นบ้านเพื่อคนไทย, หรือโครงการ ODOS ที่จะยกระดับแรงงานและอาชีวะ รวมถึงนโยบายดอกเบี้ย 19% หรือแม้กระทั่ง Financial Hub  ทั้งหมดนี้ถูกสกัดจนไม่เกิดผล ประชาชนไม่ได้แค่เสียเวลา แต่ถูกขโมยอนาคตและพลาดโอกาสไปต่อหน้าต่อตา

โดยเฉพาะนโยบาย 20 บาทตลอดสาย ที่ไม่เพียงเป็นนโยบายลดค่าโดยสาร แต่เป็นนโยบายลดความเหลื่อมล้ำ เชื่อมโอกาสทางเศรษฐกิจของคนชานเมืองกับใจกลางกรุงเทพฯ หากหยุดมาตรการ ประชาชนจะถูกบังคับให้แบกต้นทุนเดินทางสูงขึ้นทันที ขัดกับหลักการ ‘ลดค่าครองชีพ’ ที่รัฐบาลเองเคยประกาศยิ่งรัฐบาลชุดนี้มีอายุเพียงไม่กี่เดือน การตัดสินใจยุตินโยบายที่พิสูจน์แล้วว่า ‘ได้ผลจริง’ ย่อมถูกตั้งคำถามว่าคุ้มค่ากับการสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนหรือไม่? 

ทั้งหมดนี้อาจกล่าวได้ว่า นโยบายที่รัฐบาลอนุทินประกาศไว้ ไม่ใช่ 4 ข้อที่จะพาประเทศไปในทิศทางที่ถูกต้อง แต่เป็นหายนะของประเทศในระยะยาว เป็นการจัดวางอำนาจเพื่อสืบทอดและครอบงำมากกว่าพยายามที่จะสร้างภาพอนาคตของประเทที่ดูจับต้องได้ เวลาสี่เดือนสำหรับการเมืองอาจจะไม่นาน แต่สำหรับประชาชนที่ต้องทนอยู่กับเศรษฐกิจชะลอตัว รายได้ที่ไม่พอรายจ่าย และคุณภาพชีวิตที่ไม่ดีขึ้น ระยะเวลาสี่เดือนต่อจากนี้อาจเป็นเวลาที่สูญเสียไปอย่างไร้ความหมาย สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่า รัฐบาลนี้ยังไม่สามารถวาดภาพอนาคตที่มั่นคงให้ประชาชนเห็นได้เลย
 

หน้าแรก » การเมือง

Top 5 ข่าวการเมือง