วันอังคาร ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2568 03:42 น.

การเมือง

ไทยเสนอ 3 แนวทางยกระดับความร่วมมืออาเซียน–เกาหลี ร่วมต้านภัยความมั่นคงรูปแบบใหม่ภัยสแกมเมอร์ มุ่งหน้าสู่อนาคตดิจิทัลสีเขียวและความยั่งยืน

วันจันทร์ ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 11.30 น.

เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2568 เป็นวันที่ 2 ของการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 เวลา 09.30 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเร็วกว่ากรุงเทพฯ 1 ชม.) ณ ห้องประชุมใหญ่ 2 ชั้น 3 ศูนย์การประชุม KLCC กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมและกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสุดยอดอาเซียน – สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 26 (26th ASEAN – Republic of Korea Summit) โดย นายอี แช มย็อง (H.E. Mr. Lee Jae Myung) ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเกาหลีคนใหม่ ได้จะได้พบกับผู้นำอาเซียน เป็นครั้งแรก ขณะที่ไทยทำหน้าที่เป็นประเทศผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน – สาธารณรัฐเกาหลี

นายกรัฐมนตรี เน้นถึงการประชุมครั้งนี้ว่า เป็นการทบทวนและกำหนดทิศทางความร่วมมือในอนาคตระหว่างอาเซียนกับสาธารณรัฐเกาหลี รวมถึงส่งเสริมการดำเนินการการสถาปนาการเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์แบบรอบด้าน (Comprehensive Strategic Partnership: CSP) เมื่อปี 2567 ซึ่งโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถ้อยแถลงทั้งในฐานะประเทศผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี และในฐานะประเทศสมาชิกอาเซียนในคราวเดียวกัน

โดยนายกรัฐมนตรี ได้กล่าว ต้อนรับประธานาธิบดีอี แช มย็อง พร้อมแสดงวิสัยทัศน์ในนามอาเซียน เพื่อยืนยันความมุ่งมั่นของอาเซียนในการขับเคลื่อนความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์รอบด้านอาเซียน–สาธารณรัฐเกาหลี ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมชื่นชมบทบาทของเกาหลีใต้ในกลไกความร่วมมือของอาเซียน และจะดำเนินการตามแผนการดำเนินงานอาเซียน – สาธารณรัฐเกาหลีฉบับใหม่ (พ.ศ. 2569-2573)

ด้านความมั่นคง – นายกรัฐมนตรีแสดงความมุ่งมั่นต่อความร่วมมือทางการเมือง เพื่อรับมือกับภัยคุกคามด้านความมั่นคงรูปแบบใหม่ เช่น อาชญากรรมทางไซเบอร์ ตลอดจนสนับสนุนการเสริมสร้างความตระหนักรู้ด้านกิจการทางทะเลผ่านความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น โดยนายกรัฐมนตรียังได้เสนอความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับเกาหลีในการปราบปราม Scammer อย่างจริงจัง

ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากผู้นำสมาชิกอาเซียนหลายชาติ ไม่ว่าจะเป็น สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และลาว

ด้านเศรษฐกิจ – นายกรัฐมนตรีย้ำถึงการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ผ่านการยกระดับความตกลงการค้าเสรีอาเซียน–เกาหลี (ASEAN-Korea Trade Agreement – AKFTA) ในปี 2026 และการใช้ประโยชน์จากความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน

ด้านดิจิทัลและนวัตกรรม – นายกรัฐมนตรีเร่งผลักดันความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัล ส่งเสริมความร่วมมือด้านเทคโนโลยีอัจฉริยะ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการพัฒนาทักษะดิจิทัล โดยชื่นชม “โครงการ Korea–ASEAN Digital Innovation Flagship” ของรัฐบาลเกาหลี

ด้านสังคมและวัฒนธรรม – นายกรัฐมนตรีได้ผลักดันการส่งเสริมการศึกษา การท่องเที่ยว กีฬา การพัฒนาแรงงาน และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ระหว่างอาเซียนและเกาหลีใต้เพื่อเตรียมความพร้อมสู่อนาคต

ด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม – เน้นการส่งเสริมการทำงานร่วมกับศูนย์อาเซียนในสาขาอนามัย สิ่งแวดล้อม และพลังงานหมุนเวียน

จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถ้อยแถลงในนามประเทศไทย โดยเสนอ 3 แนวทางความร่วมมือหลัก เพื่อเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนระหว่างไทย–อาเซียน–สาธารณรัฐเกาหลี ได้แก่

1) การพัฒนาเทคโนโลยีและเศรษฐกิจดิจิทัล สนับสนุนข้อริเริ่ม “AI Initiative” ของเกาหลีใต้ เพื่อการเติบโตอย่างครอบคลุม

2) การส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ผ่านการเร่งรัดเจรจา “Thailand–ROK Economic Partnership Agreement (EPA)” และการปรับปรุงข้อตกลง AKFTA เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของภูมิภาค

3) การสร้างอนาคตสีเขียวและยั่งยืน โดยไทยพร้อมร่วมมือกับเกาหลีในการดำเนินโครงการ “Clean Air for Sustainable ASEAN” และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม

นายกรัฐมนตรียังได้ย้ำจุดยืนของไทยในการส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค โดยสนับสนุนการแก้ไขข้อขัดแย้งด้วยการเจรจาและความร่วมมือ ไม่ใช่การเผชิญหน้า และแสดงความพร้อมของไทยและอาเซียน ที่จะทำงานร่วมกับรัฐบาลชุดใหม่ของสาธารณรัฐเกาหลี

ในการดำเนินการตามแผนการดำเนินงานอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ฉบับใหม่ (พ.ศ. 2569-2573) เพื่อขับเคลื่อนความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์แบบรอบด้าน

เสนอแนวทางความมั่นคง 3 เสา ให้อาเซียนเข้มแข็ง 

ที่ศูนย์การประชุม KLCC กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนบวกสาม (ASEAN Plus Three Summit: APT) ครั้งที่ 28 พร้อมผู้นำ/ผู้แทนประเทศสมาชิกอาเซียน และประเทศคู่เจรจาบวกสาม ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี

ภายหลังการประชุม นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถ้อยแถลงย้ำถึงความสำคัญของกลไกอาเซียนบวกสาม ในการเป็นเวทีหลักที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมแก่ประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วิกฤตการณ์การเงินในปี 1997 จนถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และภัยพิบัติทางธรรมชาติ

นายกรัฐมนตรีชี้ให้เห็นว่า โลกในปัจจุบันมีความซับซ้อนและเปราะบางมากขึ้น อาเซียนและประเทศบวกสามจึงจำเป็นต้องเสริมสร้างความร่วมมือให้เข้มแข็งและเท่าทัน เพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่อย่างครอบคลุมและทันการณ์

โดยนายกรัฐมนตรีได้เสนอแนวคิด "3 Securities Approach" หรือ "ความมั่นคง 3 ด้าน" เพื่อเป็นทิศทางในการขับเคลื่อนความร่วมมืออาเซียนบวกสามในอนาคต ได้แก่

1) ความมั่นคงทางการเงิน (Financial Security) นายกรัฐมนตรีย้ำความสำคัญของการยกระดับข้อริเริ่มเชียงใหม่ (Chiang Mai Initiative Multilateralisation: CMIM) ไปสู่การจัดตั้งกลไก "Rapid Financing Facility" เพื่อให้ความช่วยเหลือทางการเงินได้อย่างทันท่วงทีในยามเกิดวิกฤต พร้อมชื่นชมถ้อยแถลงว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเงินระดับภูมิภาค ซึ่งจะช่วยสร้างระบบรองรับความมั่นคงทางการเงิน (Financial Safety Net)" ที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น

2) ความมั่นคงทางดิจิทัล (Digital Security) นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัลควรเกิดขึ้นอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะในระดับชุมชนฐานรากและผู้ประกอบการ MSMEs เพื่อให้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนการเติบโตอย่างครอบคลุม พร้อมสนับสนุนการจัดทำความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน (ASEAN Digital Economy Framework Agreement: DEFA) ที่จะเป็นโอกาสใหม่ของการค้า การลงทุน และนวัตกรรมในภูมิภาค

โดยนายกรัฐมนตรียังเสนอให้อาเซียนบวกสามเร่งความร่วมมือในด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อีคอมเมิร์ซ และการพัฒนาแรงงานดิจิทัล พร้อมทั้งเข้มงวดในการป้องกันอาชญากรรมไซเบอร์ เพื่อสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่ปลอดภัยและยั่งยืน

3) ความมั่นคงของมนุษย์ (Human Security) นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่าความเป็นอยู่ของประชาชนคือหัวใจของความร่วมมืออาเซียนบวกสาม จึงเสนอให้อาเซียน และพันธมิตรที่สำคัญกับอาเซียนทั้งสามประเทศ ร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดและจริงจังยิ่งขึ้นในการปราบปราม Scammer ซึ่งกระทบต่อความมั่นคงปลอดภัยของประชาชนโดยตรง

นอกจากนี้ควรเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารผ่านการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีการเกษตรอัจฉริยะ (Smart Agriculture) และการพัฒนาองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม (ASEAN Plus Three Emergency Rice Reserve- APTERR) ให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประเทศสมาชิกได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งขยายการให้ความช่วยเหลือไปยังสินค้าเกษตรประเภทอื่น

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้เสนอให้ใช้ประโยชน์จากศูนย์อาเซียนในประเทศไทย เช่น ศูนย์อาเซียนเพื่อผู้สูงวัยอย่างมีศักยภาพและมีนวัตกรรม (ASEAN Centre for Active Aging and Innovation- ACAI) และศูนย์อาเซียนเพื่อการศึกษาและการหารือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (ASEAN Centre for Sustainable Development Studies and Dialogue- ACSDSD) เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน การเงินสีเขียว และการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด

ตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้แสดงความชื่นชมประเทศคู่เจรจาบวกสามที่มีบทบาทเชิงรุกและสร้างสรรค์ต่ออาเซียน พร้อมยืนยันว่า ไทยสนับสนุนความร่วมมืออย่างสร้างสรรค์ระหว่างประเทศบวกสาม เพื่อเสริมความเข้มแข็งของภูมิภาคเอเชียตะวันออกอย่างแท้จริง

ภายหลังการประชุม ที่ประชุมได้ร่วมรับรองแถลงการณ์ผู้นำอาเซียนบวกสามว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเงินระดับภูมิภาค (ASEAN Plus Three Leaders' Statement on Strengthening Regional Economic and Financial Cooperation)

หน้าแรก » การเมือง

Top 5 ข่าวการเมือง

ข่าวในหมวดการเมือง