วันอังคาร ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2568 03:40 น.

การเมือง

"อนุทิน" ยัน "MOU แรร์เอิร์ธ"   ไม่ผูกพันทางกฎหมาย ย้ำไทยได้ประโยชน์–สหรัฐหนุนเทคโนโลยี เปิดด่านเมื่อข้อตกลงครบ

วันจันทร์ ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 16.24 น.

 นายกรัฐมนตรีเผย ข้อตกลงแรร์เอิร์ธเป็นเพียงบันทึกความเข้าใจ ไม่ก่อพันธะผูกมัดใด ๆ แต่เปิดประตูสู่ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและการลงทุน ขณะที่ "สีหศักดิ์" ชี้ช่วยเพิ่มศักยภาพไทยในอุตสาหกรรมแร่และซัพพลายเชนโลก 

เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2568  ตามที่ประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกาทำข้อตกลงผ่าน MOU เรื่องแร่หายาก หรือแรร์เอิร์ธ (Rare Earth) ร่วมกันระหว่างนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และนายโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ถึงความกังวลด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อม และตั้งคำถามว่าเพราะเหตุใดนายอนุทินถึงลงนามในเรื่องที่ไทยเสียเปรียบ ซึ่งเป็นประเด็นที่อาจทำให้เกิดปัญหาขึ้นในอนาคต

 เวลา 14.00 น. (กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง) นายอนุทิน  เปิดเผยถึงการลงนาม MOU แรร์เอิร์ธ ว่า MOU แรร์เอิร์ธ หมายถึงแร่ธาตุที่หายาก ซึ่งยังเป็นคำศัพท์ที่กว้างอยู่ ไม่ได้เป็นสิ่งที่มีความน่าวิตกกังวลอย่างที่หลายคนคิด เพราะเป็นการลงนามที่ว่าทุกวันนี้แร่ธาตุต่าง ๆ มากมายที่สามารถนำไปผลิตเป็นสินค้าลดต้นทุน และทำให้เกิดประสิทธิภาพ ลดคุณภาพของสินค้าได้ ตอนนี้เราอาจจะยังไม่ได้ลงไปดูอย่างเต็มที่ แต่มีแร่หายากอะไรขึ้นมาแล้วสอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลกในอนาคต ซึ่งสหรัฐอเมริกาอยากขอมีส่วนร่วมในการเข้ามาพัฒนา ซึ่งประเทศไทยเราต้องยินดี เพราะของที่เรามีอยู่แล้ว เรายังไม่ได้พัฒนา แต่องค์ความรู้ของเราไม่เพียงพอ จึงต้องแสวงหาเทคโนโลยีเข้ามา

อย่างไรก็ตามเรามีการระบุไว้อย่างชัดเจนใน MOU ว่า ทุกอย่างจะต้องอยู่ภายใต้ความเป็นธรรม หลักธรรมาภิบาล และภายใต้กฎระเบียบ กฎหมายของไทย ไม่ผิดต่อหลักรัฐธรรมนูญ ซึ่งเงื่อนไขเช่นนี้เป็นเงื่อนไขทั่วไปที่เรายอมรับได้

เมื่อถามว่าหลายคนมีความกังวลต่อการลงนามในครั้งนี้ นายกฯ ย้อนถามว่าอ่านหรือยัง ต้องถามว่าอ่านหรือยัง ก่อนนายกฯกล่าวต่อว่า อย่าไปฟังแต่หัวข้อแล้ววิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว ต้องดูในรายละเอียด หากจะถามรัฐบาลในรายละเอียด ผู้ที่ถามก็ต้องทราบในรายละเอียดด้วย เนื้อหาใน MOU มีวัตถุประสงค์หลักคือการแสวงหาความร่วมมือด้วยกัน เมื่อมีความร่วมมือแล้วก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศไทย และไม่มีการจำกัดให้ทั้ง 2 ฝ่าย เปิดโอกาสไปหาความร่วมมือกับประเทศอื่น ๆ รวมถึงไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย

เมื่อถึงเวลาอันควร ดูแล้วไม่มีประโยชน์ที่จะเดินหน้ากันต่อไป คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็สามารถยกเลิกข้อสัญญานี้ได้เลย โดยไม่ต้องรับการยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง นี่คือ MOU จริง ๆ เพราะว่าชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า เป็นบันทึกความเข้าใจ เข้าใจกันอย่างนี้ แต่ไม่ได้ผูกพันอะไร และหากวันหนึ่งเข้าใจเป็นอย่างอื่นก็เลิกแล้วต่อกัน เพราะถ้าจะทำให้เข้มข้นกว่านี้ ต้องทำให้เป็น Agreement ไม่ใช่ Understanding หรือเป็น Agreement Contract หรือ Trearty สนธิสัญญาที่มีการผูกมัดกันทางกฎหมายมากกว่า

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า ดังนั้นเรื่องนี้ ไม่มีอะไรน่าห่วง ตนมองว่าการเซ็น MOU แรร์เอิร์ธ หรือแร่หายาก น่าจะเป็นเพียงความพยายามที่จะฟื้นฟูคนที่ห่างกันไปสักพักหนึ่ง ให้มาใกล้ชิดเพิ่มมากขึ้น เหมือนเป็นการจุดประกายให้นำไปสู่การพูดคุยเรื่องอื่น ๆ เมื่อเราลงนามในปฏิญญา แสวงหาสันติภาพกับกัมพูชา และต่อมาด้วย MOU แรร์เอิร์ธ สิ่งต่อไปที่เราจะพูดคุยกับสหรัฐฯ ซึ่งเราก็เชื่อว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับประเทศไทย ซึ่งก็คือเรื่องข้อตกลงทางการค้าที่กระทรวงพาณิชย์ กำลังเจรจากับทางผู้แทนการค้ากับสหรัฐฯ อยู่

อย่างเมื่อตอนที่ตนพบกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เมื่อลงนามเสร็จก็บอกว่าให้ช่วยพิจารณาสนับสนุนให้ช่วยเรื่องภาษี (Tariff) ลดลงมาอีกได้หรือไม่ หากได้ก็จะเป็นพระคุณ เป็นการตอบแทนความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นมาของทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งก็ไม่มีอะไรที่เสียหาย และสร้างความรู้สึกที่ดีต่อกัน 

ยันยังไม่เปิดด่านชี้กัมพูชาต้องทำตามที่ตกลงก่อน เปิดด่านเป็นขั้นตอนสุดท้าย

นายอนุทิน ให้สัมภาษณ์ถึงผลการลงนามในถ้อยแถลงกับกัมพูชาโดยยืนยันว่า ไม่มีการเปิดด่าน ยังไม่ถึงจุดนั้น ถ้อยแถลงที่ลงนามกับกัมพูชา โดยที่มีประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ และนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ร่วมเป็นสักขีพยานด้วยเป็นการกำหนดว่า แต่ละประเทศจะต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง

"แต่ประเทศไทยก็ดีหน่อย เพราะไม่ได้เป็นฝ่ายที่ละเมิด ดังนั้นการดำเนินการทั้งหลายจะต้องเริ่มจากทางฝ่ายกัมพูชาก่อน เช่น การถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ชายแดน ซึ่งเมื่อคืนนี้ก็ทำแล้ว และเมื่อเขาทำแล้วเราก็ทำ เพราะเราก็มีอาวุธหนักเช่นเดียวกัน แต่ในการลงนาม ไม่ได้บอกว่าเราต้องถอน แต่เมื่อเขาแสดงท่าทีที่มีเจตจำนงที่จะถอนอาวุธหนักออกไปอย่างมีนัยสำคัญ เราก็แสดงท่าทีให้เขาเห็นว่า เราก็พร้อมที่จะถอน เพื่อทำให้เกิดช่องในการเจรจา และช่องในการที่จะทำให้เกิดความเข้าใจ และเพิ่มมากยิ่งขึ้น" นายอนุทินกล่าว

นายอนุทินกล่าวว่า ขั้นตอนขณะนี้จะมีการหารือกันในระหว่างกองทัพของทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งจะหารือผ่านช่องทางทวิภาคี และดำเนินการถอนอาวุธออกไปจนเป็นที่พอใจของคู่กรณี อย่างเช่น ประเทศไทย โดยที่คนกลางคือคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) คือตัวแทนผู้ช่วยทูตทหารอาเซียน ที่จะมาเป็นตัวแทน เป็นคนที่ยืนยันว่า ทางคู่กรณีได้ปฏิบัติตามข้อตกลงแล้ว จากนั้น จะไปต่อในเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า เพราะทุ่นระเบิดสามารถทำอันตรายกับคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ตรงไหนก็ได้ โดยคนที่จะทำการเก็บกู้ คือฝั่งไทย และมี AOTเป็นผู้สังเกตการณ์ เราก็มีความคาดหวังว่าฝ่ายกัมพูชาจะไม่ขัดขวาง ซึ่งคิดว่าก็คงจะไม่ขัดขวาง เพราะเป็นหนึ่งในข้อตกลง

นายอนุทินกล่าวว่า หลังจากนั้นจะมาพูดคุยเรื่องสแกมเมอร์ หาวิธีการป้องกัน และปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ยืนยันว่าฝ่ายไทยดำเนินการเต็มที่ ทั้งการตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ต การสืบหาธุรกรรม เส้นทางการเงิน ดำเนินคดีกับคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และเราก็รอฝั่งกัมพูชาที่จะให้ข้อมูลมาเพิ่มมากขึ้น เพื่อมาสนธิกำลังกันและปราบปราม

"สุดท้ายคือ การบริหารจัดการพื้นที่ที่เป็นพื้นที่ทับซ้อน ขณะนี้เราเน้นไปที่บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว ส่วนของกัมพูชาที่ล้ำมาฝั่งไทยก็มี และส่วนของฝั่งไทยที่ล้ำไปฝั่งกัมพูชาก็มีเช่นกัน ซึ่งหากจะแฟร์ ก็ต้องแฟร์ทั้งสองฝ่าย และถ้าตกลงได้แล้ว มีของเราล้ำเข้าไป เราก็ต้องกลับมา และรัฐบาลไทยต้องจัดหาที่อยู่ให้กับคนที่ล้ำเข้าไปฝั่งกัมพูชา เช่นเดียวกันกับฝั่งกัมพูชาที่ล้ำเข้ามาในฝั่งไทย หากทำเช่นนี้ได้ ความเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศไทยจะลดน้อยลง และถึงจะมาเริ่มฟื้นฟูเรื่องความสัมพันธ์ทางการทูต ซึ่งขณะนี้เราเหลือแค่เลขานุการโท เพราะได้เรียกทูตกลับมาแล้ว

นายกรัฐมนตรีย้ำว่าตนเองก็ไม่ได้อยากจะค่อยๆ ทำมาก เพราะมันคือโอกาสที่เราเสียไป ถ้าความเป็นภัยไม่มีแล้ว เราก็จะต้องเร่งดำเนินการในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ให้กลับไปในจุดที่มันควรแก่เหตุ หากตนเองบอกว่าฟื้นเลย เดี๋ยวจะไม่พอใจกันอีก แต่ยืนยันว่าจะไม่ทำให้เกียรติภูมิของประเทศเสียหายไปอย่างแน่นอน และเรื่องของการเปิดด่าน สำหรับตนจะเป็นเรื่องสุดท้าย เมื่อสถานการณ์ที่เป็นอันตรายหมดไปแล้ว ฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตของทั้งสองประเทศ และกลับมาเปิดด่าน ซึ่งจะเป็นจุดสุดท้ายของกระบวนการ และหวังว่าความเป็นปกติสุขจะเกิดขึ้น

เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่าจะมีการเปิดด่านในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ นายอนุทิน ยืนยันว่า ยัง ตนไม่ทราบว่าใครไปกำหนดวันนั้น แต่ทั้งหมดจะช้าหรือเร็ว ขึ้นอยู่ที่ความจริงใจในการเข้ามาเร่งแก้ไขปัญหาของทั้งสองประเทศ หากกัมพูชาดำเนินการ ไทยจะมีการประเมินโดยเร็ว และตอบสนองในแต่ละเรื่อง โชคดีที่ในกรณีนี้ ประเทศไทยเราสามารถอยู่ในสถานะเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขได้ เพราะเราเป็นฝ่ายที่ถูกรุกรานเข้ามา ดังนั้น เมื่อกำหนดเงื่อนไขแล้ว และเขาทำตามแล้ว เราก็จะต้องเร่งประเมิน และทำให้ความขัดแย้งในทุกๆ มิติลดลงไป ไม่มีใครต้องการความขัดแย้ง

"ด่านยังไม่เปิด เดี๋ยวก็มีคนไปพูดว่าเดี๋ยวก็เปิดด่านอีกแล้ว ไทยมีการยอมนั่นยอมนี่ ซึ่งกัมพูชาจะต้องดำเนินการตามเงื่อนไขอย่างเป็นรูปธรรมก่อน ถึงจะมีการพิจารณา" นายอนุทินกล่าว

"สีหศักดิ์" ยืนยันไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย แต่เกิดประโยชน์ต่อไทยในหลายด้าน

นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกา ว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุสำคัญในระดับโลกและการส่งเสริมการลงทุน ไม่มีผลผูกมัดทางกฎหมายแต่อย่างใด อีกทั้ง ยังเป็นข้อตกลงที่จะเกิดประโยชน์ต่อไทย ในการได้รับความรู้ และการส่งเสริมความร่วมมือเกี่ยวในด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยี การลงทุน การสร้างห่วงโซ่อุปทานในเรื่องนี้ ซึ่งปัจจุบันแร่ธาตุจำเป็นต่าง ๆ (critical minerals) มีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาอุตสาหกรรมหลากหลายด้าน โดยเฉพาะ ด้านเซมิคอนดักเตอร์ หรืออุตสาหกรรมที่พึ่งพาความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรี หวังว่าฝ่ายสหรัฐฯ จะช่วยสนับสนุนไทย ในการเจรจาเกี่ยวกับการปรับอัตราภาษีนำเข้าระหว่างกันให้เกิดความเป็นธรรมต่อทั้งสองฝ่าย เพื่อลดผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย ให้บรรลุผลสำเร็จโดยเร็ว
 

หน้าแรก » การเมือง

Top 5 ข่าวการเมือง

ข่าวในหมวดการเมือง