เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2568   ที่พารากอนฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แสดงวิสัยทัศน์ในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 หัวข้อ “Thailand’s Next Frontier : A National Economic Vision” โดยเปิดใจถึงทิศทางการเมือง เผยอาจตัดสินใจ “ยุบสภา” ก่อนวันที่ 31 มกราคม 2569 หากฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ พร้อมประกาศชัด “ไม่ปล่อยให้ใครมาด่ารัฐบาลฟรี”

ย้ำรักษาสัญญากับพรรคประชาชน เตรียมคืนอำนาจให้ประชาชนต้นปีหน้า

นายอนุทินกล่าวว่า “ข้อตกลงเอ็มโอเอ (MOA) กับพรรคประชาชนชัดเจน เราสัญญากันไว้ว่าจะยุบสภาภายใน 4 เดือน เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน และสร้างทางออกให้ประเทศในช่วงเวลาที่เหมาะสม พรรคประชาชนมี ส.ส.มากกว่า แต่ไม่มีแคนดิเดตนายกฯ เราจึงร่วมมือกันจัดทำเอ็มโอเอไว้ตั้งแต่ต้น และผมจะรักษาสัญญานั้นให้ถึงที่สุด”

นายกรัฐมนตรีระบุว่า มีคนจำนวนมากพยายามเตือนว่าอาจเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการยุบสภา แต่ตนยืนยันว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงไทม์ไลน์ที่ตกลงไว้ “เมื่อครบสี่เดือน ผมก็ต้องยุบสภา” เขากล่าว

พร้อมยุบก่อนกำหนด หากซักฟอกไม่สร้างสรรค์

เมื่อถูกถามถึงความเป็นไปได้ในการ “ยุบสภาก่อนกำหนด” หากฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายอนุทินตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ต้องดูสถานการณ์เป็นช่วงๆ ถ้าอภิปรายกันด้วยวัตถุประสงค์ไม่สร้างสรรค์ แค่เล่นการเมือง ด่ารัฐบาลฟรีๆ ผมก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ให้ด่า ยุบสภาเลยก็ได้ ห่างกันแค่เดือนเดียวเอง ไม่ทำให้เกิดความแตกต่างอะไร”

นายกฯ ย้ำว่า รัฐบาลนี้ “สู้เกมการเมืองด้วยผลงาน” ไม่ใช่ด้วยอำนาจหรือการใช้กลไกรัฐ “ผมไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้น สิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับพวกเราในอดีต ผมจะไม่ทำซ้ำกับใคร” เขากล่าว

พร้อมเลือกตั้งทุกเมื่อ “บอกพรรคเตรียมไว้ตั้งแต่วันแรก”

นายอนุทินเผยว่า พรรคภูมิใจไทยเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งไว้นานแล้ว “ตั้งแต่วันแรกที่เรากลับมาเป็นรัฐบาล ผมบอกสมาชิกพรรคเลยว่าเลือกตั้งเกิดขึ้นได้ทุกวัน ต้องพร้อมเสมอ พรุ่งนี้ถ้ามีเลือกตั้งก็ต้องลงสนามได้ทันที”

เมื่อถามว่าพร้อมกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหรือไม่ นายอนุทินตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “เป็นนายกฯ แล้วก็ต้องเป็นต่อไป ไม่ว่าจะ 3 เดือนหรือ 4 เดือน คนก็เรียกผมว่านายกฯ อยู่ดี เหมือนที่เรายังเรียกคุณอภิสิทธิ์ หรือคุณทักษิณ ว่าท่านนายกฯ สิ่งสำคัญคือทำอะไรให้บ้านเมืองได้จดจำ ไม่ใช่ระยะเวลาที่อยู่ในตำแหน่ง”

ยืนยันไทยไม่ใช่ศูนย์กลางฟอกเงิน “เราคือประเทศที่ล้อมรอบด้วยสแกมเมอร์”

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงประเด็นการฟอกเงินและสแกมเมอร์ที่ถูกต่างชาติจับตามองว่า “ประเทศไทยไม่ใช่ศูนย์กลางการฟอกเงิน แต่เราถูกล้อมรอบด้วยประเทศที่มีขบวนการสแกมเมอร์ สิ่งที่ต้องทำคือสร้างระบบกฎหมายที่เข้มงวด เจ้าหน้าที่ต้องทำงานอย่างตั้งใจ ซึ่งตอนนี้รัฐบาลเตรียมเครื่องมือไว้พร้อมหมดแล้ว”

เขายืนยันว่า “รัฐบาลนี้ไม่กลัวนักเลง ไม่เกรงมาเฟีย” พร้อมเปิดเผยว่ามีการถอนสัญชาติบุคคลที่มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติไปแล้ว “เพียงสามสัปดาห์หลังผมเข้ารับตำแหน่ง”

แจงกรณีอดีตรมช.คลังถูกพาดพิงสแกม “ลาออกโดยสมัครใจ”

นายอนุทินกล่าวถึงกระแสข่าวอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการสแกมว่า “ท่านถูกครหาแต่ยังไม่มีหลักฐานใดๆ ผมเป็นคนขอให้ท่านลาออกเอง เพื่อความโปร่งใส และท่านก็ให้ความร่วมมือดี หากไม่ผิดก็ไม่อาจกล่าวหาว่าผิดได้”

เขาย้ำว่าการใช้กฎหมายในรัฐบาลชุดนี้ “พิจารณาตามพฤติกรรมและหลักฐาน ไม่ใช่ตามความชอบหรือความเกลียดชังทางการเมือง”

ลั่น “นักการเมืองต้องไม่ใช้กลไกรัฐกลั่นแกล้งกัน”

นายกรัฐมนตรีกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “นักการเมืองทะเลาะกันใช้กลไกรัฐกลั่นแกล้งกัน คนที่เดือดร้อนคือประเทศและประชาชน รัฐบาลนี้ไม่ทำแบบนั้น” พร้อมระบุว่า ขณะนี้รัฐบาลมีอำนาจเต็มที่มากที่สุดในรอบ 20–30 ปี “นายกฯ ควบมหาดไทย ดูแลทุกกระทรวง ถ้าผมคิดร้ายก็ทำได้หมด แต่ผมเลือกไม่ทำ ผมเลือกเปลี่ยนแปลงประเทศด้วยความยุติธรรม”

เผยลงนามสันติภาพมาเลเซีย “ไปเพื่อหยุดสงคราม ไม่ใช่แลกผลประโยชน์”

นายอนุทินยังกล่าวถึงการลงนามสันติภาพกับประเทศมาเลเซียว่า “ผมไปเพื่อหยุดสงคราม ไม่ใช่เพื่อแลกผลประโยชน์ ไม่มีการยกดินแดน ไม่มีการเสียอธิปไตย ทุกอย่างเขียนชัดเจนในเอกสาร”

เขาเสริมว่า ตั้งแต่ตนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี “ไม่มีลูกกระสุน ไม่มีระเบิด ไม่มีทหารบาดเจ็บในพื้นที่ชายแดนใต้ การเปิดด่านระหว่างประเทศดำเนินไปอย่างราบรื่น”

ตอบชัดปมแร่แรร์เอิร์ธ “ไทยเลือกข้างตัวเอง”

ในช่วงท้าย นายอนุทินกล่าวถึงประเด็นแร่แรร์เอิร์ธซึ่งเป็นจุดขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอำนาจว่า “ประเทศไทยไม่เสียอะไรเลย เพราะทรัพยากรอยู่ในประเทศทั้งหมด เราเลือกข้างตัวเอง ไม่ใช่ข้างใคร การตัดสินใจใดๆ ต้องอยู่บนพื้นฐานของประโยชน์สูงสุดของชาติ”

เขาทิ้งท้ายว่า “ถ้าไม่มีใครคบเรา เราก็ต้องพึ่งตัวเองได้ ผลิตอาหาร ปัจจัยสี่ได้ ประเทศไทยมีจุดแข็งมากมาย แค่ต้องเชื่อมั่นในตัวเอง”