เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2568    ศาสตราจารย์ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่งกลับรัฐบาลเลือกคำถามประชามติเพียงคำถามเดียว เพราะ กกต. ไม่มีอำนาจ ว่า คำถามที่รัฐสภาส่งมา เป็นคำถามที่ไม่ได้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติโดยตรง คณะรัฐมนตรีจึงต้องตั้งคำถามให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติส่งไปด้วย

เมื่อ กกต. ต้องการให้คณะรัฐมนตรีเลือกเพียงคำถามเดียว จึงต้องเลือกคำถามของคณะรัฐมนตรี เพราะคณะรัฐมนตรีตั้งคำถามที่คิดว่าเป็นไปตามที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่ที่ส่ง 2 คำถามไปครั้งแรก เพราะเคารพมติรัฐสภา จึงต้องส่งคำถามของรัฐสภาไปพร้อมกับคำถามของคณะรัฐมนตรี แม้จะทราบว่าคำถามของรัฐสภา ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ไม่เช่นนั้นอาจถูกมองว่าไม่ให้ความสำคัญกับรัฐสภา

ส่วนที่ระบุว่า การทำประชามติจะเร็วกว่า 60 วัน หรือช้ากว่า 150 วันไม่ได้ คงอ่านกฎหมายประชามติข้ามมาตรา 11 วรรค 3 ข้ามไป ว่า หากมีเหตุจำเป็นเรื่องงบประมาณ หรือให้คนอื่น ครม. อาจกำหนดวันให้เร็วขึ้นได้ ซึ่งเหตุผลเรื่องงบประมาณ คือ หากจัดการเลือกตั้ง และทำประชามติแยกกัน จะต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นประมาณ 4,000 ล้านบาท และประชาชนต้องไปเลือกทั้ง 2 ครั้ง หากไม่ไปครั้งใดครั้งหนึ่งจะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง กกต. ก็ต้องจัดการเลือกตั้งถึง 2 ครั้ง ครม.จึงมีมติด้วยเหตุผลเรื่องงบประมาณ และเพื่ออำนวยความสะดวกประชาชน และ กกต. ก็ควรจะจัดให้มีการเลือกตั้ง สส. และทำประชามติในวันเดียวกัน คือ วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 ตามที่ กกต.กำหนด

โดย ครม.ก็จะต้องดำเนินการตามกฎหมาย นายกรัฐมนตรีจะต้องส่งเอกสารให้กับ กกต. ก่อนที่จะประกาศให้มีการจัดทำประชามติ ซึ่งนับจากวันนี้ 15 วัน หรือ วันที่ 2 มกราคม 2569

ศ.บวรศักดิ์ กล่าวว่า ตนเห็นพ้องกับเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ควรจะส่งคำถามไปให้ กกต. ทั้ง 2 คำถาม แต่หากที่ประชุมรัฐสภาเลือกคำถามของพรรคภูมิใจไทย แทนที่จะเลือกคำถามของ นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็คงไม่มีปัญหา ครม. ก็ไม่ต้องส่งคำถามของ ครม. ไปด้วย อย่างไรก็ตามเมื่อ กกต. ให้เลือก 1 คำถาม คณะรัฐมนตรี จึงต้องเลือกคำถามของรัฐบาล เพราะมั่นใจว่าเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ