เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 27 มกราคม 2564 ที่ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านกร่าง อ.เมืองพิษณุโลก จ.พิษณุโลก นายปราการ มสิกพรรค์ หัวหน้ากลุ่มวิชาการขนส่ง  สำนักงานขนส่งจังหวัดพิษณุโลก  เป็นประธานพิธีเปิดกิจกรรมตามโครงการ “ สัญจรปลอดภัย ห่วงใยผู้สูงอายุจังหวัดพิษณุโลก ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ” รุ่นที่ 3   โดยมีนางสาวสุภาวดี  คงเชย  นักวิชาการขนส่งชำนาญการ  กล่าวรายงาน  ว่าที่ร้อยตรีธรรมนูญ ท้าวฮ้าย นายก อบต.บ้านกร่าง  กล่าวต้อนรับ  ตลอดจนข้าราชการ และ  เจ้าหน้าที่ในสังกัดกรมการขนส่งทางบก และ ผู้สูงอายุในพื้นที่ตำบลบ้านกร่างให้การต้อนรับและเข้าร่วมกิจกรรม ท่ามกลางบรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่น   

 

นายปราการ มสิกพรรค์ หัวหน้ากลุ่มวิชาการขนส่ง  กล่าวว่า   ปัจจุบันจากสถิติจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนทั่วโลกยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นยังเป็นปัญหาสำคัญระดับโลก จากรายงานขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization : WHO) ได้รายงานสถานการณ์ความปลอดภัยทางถนนโลกปี 2561 พบว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนถนนทั่วโลกเพิ่มขึ้นจาก 1.25 ล้านคน เป็น 1.35 ล้านคนในช่วงเวลาเพียงสามปีที่ผ่านมา ซึ่งเท่ากับวันละ 3,700 คน ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน จำนวน 22,491 คน คิดเป็น 32.7 คนต่อประชากร 1 แสนคน เฉลี่ย 2.5 คนต่อชั่วโมง คิดเป็น 60 คนต่อวัน ทำให้ประเทศไทยเป็นอันดับ 9 ของโลกที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด

 

“   จังหวัดพิษณุโลกในปี พ.ศ. 2562 (มกราคม – ธันวาคม 2562) มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน จำนวน 267 ราย โดยผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป จำนวน 89 ราย (ร้อยละ 33.33) รองลงมาอยู่ในช่วงอายุ 40-49 ปี จำนวน 43 ราย (ร้อยละ 16.10)   จ.พิษณุโลก  ในปี พ.ศ.2562 มีจำนวนประชากร จำนวน 865,247 คน มีจำนวนผู้สูงอายุ จำนวน 159,810 คน คิดเป็นร้อยละ 18.47 หรือ 1 ใน 6 ของจำนวนประชากรทั้งหมด ซึ่งรัฐควรต้องให้ความสำคัญและจัดเป็น “วาระแห่งชาติ” ผู้สูงอายุจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุเป็นอย่างมาก เนื่องจากยังคงมีความจำเป็นต้องใช้รถใช้ถนนหรือเดินเท้าในการเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ และ   เมื่อมีอายุที่มากขึ้นสายตาและประสาทหูเริ่มเสื่อมสภาพตามอายุ ความจำหลง ๆ ลืม ๆ ทำให้ขาดความระมัดระวังในการใช้รถใช้ถนน ก่อให้เกิดอุบัติเหตุทางถนนขึ้นได้

 

ดังนั้น   เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนแก่ผู้สูงอายุให้มีชีวิตอยู่กับลูกหลานอย่างยืนยาวและยังสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปถ่ายทอดอบรมสั่งสอนแก่บุตรหลานและบุคคลใกล้ชิดได้อย่างถูกต้อง   จังหวัดพิษณุโลก โดยสำนักงานขนส่งจังหวัดพิษณุโลก   จึงได้จัดทำโครงการสัญจรปลอดภัย ห่วงใยผู้สูงอายุจังหวัดพิษณุโลก ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ขึ้น เพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับความรู้ความเข้าใจในการใช้รถใช้ถนนอย่างถูกต้องและปลอดภัย สามารถนำความรู้ที่ได้รับไปถ่ายทอดอบรมสั่งสอนแก่บุตรหลานและบุคคลใกล้ชิดได้อย่างถูกต้อง  นายปราการ กล่าว. 

ด้านนางสาวสุภาวดี คงเชย  นักวิชาการขนส่งชำนาญการ กล่าวว่า ด้วยปัญหาอุบัติเหตุทางถนนที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน  มีแนวโน้มของผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยด้านพฤติกรรมของผู้ขับขี่เป็นปัจจัยสำคัญที่เป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ  ได้แก่ การใช้ความเร็วสูงขณะขับขี่  การฝ่าฝืนและไม่เคารพกฎจราจร และจากสถิติการได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป จะเห็นได้ว่าผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุเป็นอย่างมาก

 

ทั้งนี้  สำนักงานขนส่งจังหวัดพิษณุโลก ได้ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาอุบัติเหตุดังกล่าว จึงได้มีการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดพิษณุโลก   สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก  สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดพิษณุโลก ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมความปลอดภัยทางถนนให้แก่ผู้สูงอายุในพื้นที่ เพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับความรู้ความเข้าใจในการใช้รถใช้ถนนอย่างถูกต้องและปลอดภัย จึงได้จัดทำโครงการสัญจรปลอดภัย ห่วงใยผู้สูงอายุจังหวัดพิษณุโลก ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ขึ้น  ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ได้กำหนดเป้าหมายในการจัดกิจกรรมให้กับพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 6 แห่ง ๆ ละ 50 คน รวมจำนวนทั้งสิ้น 300 คน  โดยได้พิจารณาจากพื้นที่ที่ผู้นำท้องถิ่นเล็งเห็นถึงความสำคัญของการป้องกันและลดปัญหาอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่ จึงกำหนดจัดกิจกรรมรุ่นที่ 3 ณ องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านกร่าง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก

 

นอกจากนี้   ยังให้มีกิจกรรมตรวจสุขภาพเบื้องต้นและให้คำแนะนำการปฏิบัติตนของผู้สูงอายุ การอบรมให้ความรู้ด้านการใช้รถใช้ถนนอย่างถูกต้องและปลอดภัย และการอบรมสันทนาการ พบปะพูดคุยให้กำลังใจแก่ผู้สูงอายุที่เข้าร่วมกิจกรรมอีกด้วย  นางสาวสุภาวดี  กล่าว.