วันเสาร์ ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2568 18:18 น.

ภูมิภาค

สมุทรสงครามชวนเที่ยวงานตักบาตรขนมครก ประเพณีเก่าแก่ที่วัดแก่นจันทร์เจริญ

วันศุกร์ ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2565, 10.59 น.
นายขจร ศรีชวโนทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม เปิดเผยว่าการทำบุญตักบาตรขนมครก เป็นประเพณีเก่าแก่ของ จ.สมุทรสงคราม ปัจจุบันมีเพียงแห่งเดียวที่วัดแก่นจันทร์เจริญ  ต.บางพรม อ.บางคนที โดยอดีตนั้นพระครูสุนทรสุตกิจ หรือหลวงปู่โห้ อดีตเจ้าอาวาสวัดแก่นจันทร์เจริญ เป็นผู้ริเริ่มชักชวนชาวบ้านจัดงานตักบาตรขนมครก ในวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 10 ของทุกปี เพื่อสืบทอดประเพณีทำบุญตักบาตรในสมัยพุทธกาล โดยเลียนแบบการจัดงานมาจากขนมเบื้องของพระราชพิธีในวังที่สืบทอดกันมาจนถึงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี
 
โดยญาติโยมที่มาทำบุญจะซื้อขนมครกและน้ำตาลทรายจากพ่อค้าแม่ค้าที่พายเรือมาจอดขายหน้าวัดแก่นจันทร์เจริญ ถวายพระสงฆ์ แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปทำให้การคมนาคมสะดวกมากขึ้น พ่อค้าแม่ค้าที่พายเรือมาขายขนมครกก็หายไป ชาวบ้านจึงเกรงว่าประเพณีตักบาตรขนมครกจะสูญหายไปด้วย จึงได้ช่วยกันลงแรงและบริจาคเงินซื้อข้าวสารนำมาหมักค้างคืนไว้ พอเช้าตรู่ของวันใหม่ก็ไปรวมตัวกันที่วัดแก่นจันทร์เจริญ ช่วยกันโม่แป้ง คั้นกะทิ ทำขนมครกเพื่อนำไปตักบาตรถวายพระสงฆ์ ส่วนน้ำตาลทรายที่ถวายคู่กันนั้นเนื่องจากพระบางรูปชอบหวานจึงมีน้ำตาลทรายให้มาด้วย จนกลายเป็นประเพณีสืบทอดเรื่อยมาจนปัจจุบัน
 
ส่วนประวัติความเป็นมาของประเพณีทำบุญตักบาตรขนมครกนั้น บางท่านบอกว่า มาจากหลักธรรมของพระพุทธเจ้าในธรรมะบทที่ 2 เรื่อง“โกสิยะเศรษฐีผู้มีความตระหนี่ถี่เหนี่ยว”โดยพระองค์ต้องการสั่งสอนเศรษฐีคนหนึ่งที่เป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว แม้จะมีฐานะร่ำรวยก็ตาม เช่น วันหนึ่งเศรษฐีคนนี้เห็นยาจกกำลังกินขนมครกจึงอยากจะกินบ้างแต่ด้วยความที่เป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวจึงไม่ยอมซื้อเพราะเกรงจะสิ้นเปลืองเงินทอง เมื่อภรรยาทราบว่าสามีอยากกินจึงแอบไปทำขนมครกโดยไม่ให้ใครรู้เพื่อจะให้สามีกินเพียงคนเดียว ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าทราบเรื่องจึงตรัสให้พระโมคคัลลานะเดินทางไปอบรมสั่งสอนเศรษฐีผู้นี้ด้วยการแสดงพระธรรมของพระรัตนตรัยทั้งสามพร้อมแสดงผลทานและเมื่อเศรษฐีได้ฟังก็มีจิตเลื่อมใสขึ้นมาทันที และตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาเศรษฐีคนนี้ก็เปลี่ยนนิสัยกลายเป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
 
ขณะที่บางตำนานก็เล่าขานว่า ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีชายหญิงคู่หนึ่งชอบพอกัน ฝ่ายชายชื่อ “กะทิ” ส่วนฝ่ายหญิงชื่อ “แป้ง” แต่พ่อของแป้งซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านไม่ชอบกะทิจึงหาทางขัดขวางไม่ให้มายุ่งเกี่ยวกับลูกสาว และยังยกลูกสาวให้แต่งงานกับปลัดอำเภอหนุ่มจากกรุงเทพฯ และเมื่อพ่อของแป้ง รู้ว่ากะทิจะมาขัดขวางงานแต่งงานของลูกสาว จึงขุดหลุมพรางไว้เพื่อดักฝังกะทิทั้งเป็น จนกลางคืนกะทิกับแป้งได้นัดมาพบกันและเกิดพลัดตกลงไปในหลุมพรางทั้งคู่ ลูกน้องของผู้ใหญ่บ้านนึกว่ากะทิตกหลุมพรางคนเดียว จึงนำดินมาฝังกลบจนทั้งคู่ตายทั้งเป็น รุ่งเช้าผู้ใหญ่บ้านรู้เข้าจึงเกิดความเศร้าโศกเสียใจจึงสร้างเจดีย์ไว้เป็นอนุสรณ์แด่คนทั้งสอง ต่อมาชาวบ้านรู้ข่าวจึงเห็นใจในชะตาชีวิตของหนุ่มสาวคู่นี้ จึงนำขนมที่ทำจากกะทิและแป้งเรียกว่า “ขนมคู่รักกัน” มาเซ่นไหว้ ต่อมาได้มีผู้เห็นว่าชื่อเรียกยากไปจึงตัดเอาตัวอักษรแต่ละคำคือเอาตัว ค ควาย, ร เรือ และ ก ไก่ มารวมกันจึงอ่านว่า “ครก”หรือขนมครกนั่นเอง
 
และเพื่ออนุรักษ์ประเพณีตักบาตรขนมครกที่สืบทอดกันมานานเกือบ 100 ปี และยังเป็นการเสริมสร้างความสามัคคีของคนในชุมชน พระครูวิมลสมุทรกิจ เจ้าอาวาสวัดแก่นจันทร์เจริญ จึงร่วมองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) บางพรม และองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สมุทรสงคราม ททท.สำนักงานสมุทรสงคราม สำนักงานวัฒนธรรม จ.สมุทรสงคราม และชาวตำบลบางพรม จัดงานตักบาตรขนมครกขึ้นที่วัดแก่นจันทร์เจริญ ในวันขึ้น 8 ค่ำเดือน 10 ซึ่งปีนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ 3 กันยายน 2565 โดยจะมีเตาขนมครก กว่า 20 เตา มีการแข่งขันกินขนมครก แข่งขันแคะขนมครก และแข่งขันขูดมะพร้าว เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่สร้างความสนุกสนานให้ผู้ที่มาเที่ยวงาน จึงขอเชิญนักท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจไปร่วมงานดังกล่าวได้ที่วัดแก่นจันทร์เจริญ ตามวันดังกล่าวเริ่มตั้งแต่เวลา 06.00 น.เป็นต้นไป            

หน้าแรก » ภูมิภาค