ญาติและชาวบ้านที่ อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ยังไม่ทราบว่าครูเทียมบวชจริงหรือไม่ หลังจากมีภาพออกเป็นข่าวว่าครูเทียมได้ซุ่มเงียบโกนผมบวชเป็นพระที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดบุรีรัมย์ ระบุเช้าวันนี้เห็นเพียงครูเทียมกับญาติแต่งตัวออกจากบ้านแต่ไม่รู้ว่าไปไหน

วันที่ 16 มี.ค.66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากมีภาพนายชุติเดช หรือครูเทียม ทองอยู่ อายุ 60 ปี โกนหัว ออกมาในโซเชียล ลักษณะซุ่มเงียบ โดยระบุว่าบวชที่วัดแห่งหนึ่งที่ จ.บุรีรัมย์ โดยระบุเรื่องคดีความต่างๆ ที่เคยเป็นข่าวก่อนหน้านี้ ได้มีการเคลียร์เป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย ทำให้ชาวเน็ตต่างออกมาแสดงความคิดเห็นว่าคดีเคลียร์เสร็จแล้วจริงหรือไม่

จากการตรวจสอบที่บ้านของครูเทียม ที่ ต.บ้านสิงห์ อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ พบเพียงแม่ของครูเทียม แต่ไม่ขอให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าว มีเพียงนายสมชาย ทองคำกิจ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 ต.บ้านสิงห์ อ.นางรอง ที่ออกมาพูดว่าไม่รู้เรื่องที่ครูเทียมไปบวช เนื่องจากครูเทียมไม่มีทะเบียนอยู่ในหมู่บ้าน เพิ่งมาทราบตอนมีข่าวออกมา

ขณะที่นายเจือ สิงห์เหล็ก เพื่อนบ้านครูเทียม ยอมรับว่าไม่รู้ว่าครูเทียมไปบวชที่ไหนอย่างไร ปกติครูเทียมไม่ค่อยอยู่บ้านอยู่แล้ว แต่เท่าที่เห็นตอนเช้าวันนี้ ครูเทียมได้ขึ้นรถไปกับน้องชายและญาติรวม 3 คน ขับรถออกจากบ้านไปแต่เช้า ยอมรับไม่รู้ว่าจะไปไหนกัน

สำหรับครูเทียม หรือนายชุติเดช ทองอยู่ นักออกแบบท่าเต้น และคอมเมนเตเตอร์ชื่อดัง เคยถูกแฉและข่าวฉาวที่เกิดขึ้นล่าสุด เมื่อวันที่ 3 ม.ค. 2566 ชื่อของ “ครูเทียม” ได้กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง หลังเมื่อวันที่ 20 ก.ย. 2565 ผู้ปกครองพาบุตรชาย อายุ 16 ปี เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.จักราช อ.จักราช จ.นครราชสีมา ว่าถูก “นายชุติเดช ทองอยู่ หรือครูเทียม” พาไปกระทำอนาจารในห้องพักพื้นที่ ต.ยายแย้มวัฒนา อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ จนถูกดำเนินคดีถึง 3 ข้อหาด้วยกันว่าล่อลวงเด็กชายอายุ 16 ปี ไปทำอนาจารที่บ้านพักของตัวเอง และต่อมา ครูเทียม ก็ถูกแจ้งข้อกล่าวหา 3 ข้อหา

โดย ครูเทียม ได้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีในความผิดฐาน 1. พรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดา มารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล โดยปราศจากเหตุสมควรเพื่อการอนาจาร 2. พาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจาร โดยใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำผิดครองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยวิธีอื่นใด 3. กระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปี โดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยบุคคลนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือทำให้บุคคลนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น ตามที่เคยนำเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้