ความคืบหน้ากรณีปมครอบครองป่าดงพะทาย อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ของสหายแสง นายศุภชัย โพธิ์สุ หรือครูแก้ว อดีต ส.ส.นครพนม เขต 1 พรรคภูมิใจไทย อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ก่อนนี้เคยมีคนนำหลักฐานออกมายื่นเพิ่มเติมเพื่อร้องเรียนต่อวีรบุรุษนาแก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร (กมธ.ป.ป.ช.) เพื่อเอาผิดทางกฎหมาย รวมถึงเอาผิดทางจริยธรรม 

 

โดยกล่าวหาว่าสหายแสง ครอบครองที่ดินบริเวณป่าดงพะทาย ต.พะทาย อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตามใบจองทั้งสิ้น 34 แปลง ซึ่งเป็นพื้นที่จัดสรรให้กับชาวบ้านยากจนได้มีที่ดินทำกิน แต่สหายแสงกลับเข้าไปครอบครอง ด้วยการซื้อสิทธิ์จากคนจับจอง รวบรวมนำมาเป็นของตัวเองเป็นเนื้อที่นับ 1,000 ไร่ และมีการนำหลักฐานการครอบครองยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อสภาผู้แทนราษฎร ถึงแม้จะหมดวาระตำแหน่ง ส.ส. แต่ยังมีประชาชน จับตามองว่าจะมีการเอาผิดต่อหรือไม่ รวมถึงจะมีการใช้อำนาจบารมีจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ช่วยเหลือให้รอดความผิดหรือเปล่า 

 

ล่าสุด พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช.ฯ ออกมายืนยันเมื่อครั้งลงพื้นที่จังหวัดนครพนม เพื่อช่วยลูกพรรคหาเสียง เกี่ยวกับการครอบครองที่ดินป่าดงพะทาย ของสหายแสง ว่า ถึงแม้จะมีการชี้แจงว่าได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่หลักฐานข้อเท็จจริง ยืนยันว่าสามารถเอาผิดได้ตามกฎหมาย พร้อมรวบรวมหลักฐานครบถ้วนส่ง ป.ป.ช.พิจารณา รอแค่ผลสรุปชี้มูลความผิด มั่นใจไม่มีมวยล้ม

 

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส  เปิดเผยต่อว่า เกี่ยวกับคดีการครอบครองพื้นที่ป่าดงพะทายของสหายแสง มาถึงวันนี้ถึงแม้จะครบวาระ ส.ส. แต่ตนยืนยันว่า ยังมีการดำเนินการพิจารณาเอาผิดตามกฎหมายของ ป.ป.ช. ต่อเนื่อง  เพราะคดีดังกล่าวตนมีหลักฐานชัดเจน ที่สรุปรวบรวมนำส่ง ป.ป.ช. ทั้งหมดแล้ว เหลือแค่การพิจารณาชี้มูลความผิด มั่นใจสามารถเอาผิดได้อย่างแน่นอน เพราะที่ดินรัฐคือที่ดินรัฐ ไม่มีข้ออ้าง ชัดเจนอยู่แล้ว ไม่มีมวยล้มต้มคนดู ขนาดสิระ เจนจาคะ รวมถึง ปารีณา ไกรครุปต์ ยังไม่รอด ส่วนสหายแสง เช่นกัน ถือว่าหมดอนาคตการเมืองแล้ว  ผิดคือผิด ไม่มีทางเลี่ยง โดยตนถือเป็นเรื่องสำคัญ ในการปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่น และเป็นนโยบายสำคัญของพรรคเสรีรวมไทย หากพบกระทำความผิดไม่มีข้อยกเว้น

 

ทั้งนี้ คดีมหากาพย์การครอบครองที่ดินป่าดงพะทายแห่งนี้ ปลายปี 2565 คณะอนุกรรมการจริยธรรมได้พิจารณาตรวจสอบกลั่นกรองเรื่องร้องเรียน ได้ตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน ก่อนเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการจริยธรรมชุดใหญ่ ที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธาน ซึ่งมีการสรุปข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติ ว่า มีชาวบ้านที่ได้รับอนุญาตให้จับจองที่ดินทั้ง 34 แปลง ได้ขายที่ดินให้แก่สหายแสง ซึ่งยังอยู่ระหว่างห้ามโอนตามกฎหมาย นิติกรรมการซื้อขายและส่งมอบการครอบครองที่ดินตามใบจองทั้ง 34 แปลงดังกล่าว เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งตามกฎหมาย จึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 และถือว่าที่ดินตามใบจองทั้ง 34 แปลง ยังเป็นของรัฐอันบุคคลอาจได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน

 

ตรงกันข้ามสหายแสงเข้าครอบครองภายหลังจากประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ และไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ แม้สหายแสงจะอ้างว่าเข้าครอบครองก่อนเป็น ส.ส. แต่ปัจจุบันสหายแสงยังคงครอบครองที่ดินดังกล่าวอยู่ จึงเป็นการครอบครองที่ดินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น จากข้อเท็จจริงและพฤติการณ์การกระทำดังกล่าวข้างต้น จึงเชื่อได้ว่าเรื่องร้องเรียนนี้มีมูลกล่าวหาว่ากระทำผิดจริง คณะอนุกรรมการจึงเห็นควรรับเรื่องร้องเรียนไว้พิจารณา ข้อสรุปของคณะอนุกรรมการกลั่นกรอง

 

ด้านสหายแสงได้โต้กลับว่า เป็นประเด็นเก่าที่เคยถูกส.ส.พรรคเพื่อไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจ เมื่อปี 2554 สมัยเป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์ และได้ยื่นต่อ ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบ แต่เรื่องได้เงียบหายไปกว่า 10 ปีแล้ว จึงมั่นใจว่าไม่เป็นปัญหา เพราะหากมีปัญหาจริง ป.ป.ช.ต้องเข้าตรวจสอบไปนานแล้ว อีกทั้งสหายแสงได้ชี้แจงไปแล้วว่า ที่ดินผืนนี้ได้มาอย่างสุจริตไม่ผิดกฎหมายและได้ก่อนเข้ามาเป็น ส.ส. ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคณะกรรมการจริยธรรมฯ ได้รับเรื่องจาก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ มาพิจารณาอีก ซึ่งสหายแสงตั้งข้อสังเกตว่า ที่ผ่านมา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส มักจะยื่นเรื่องให้ตรวจสอบส.ส.ที่มีข้อขัดแย้งกับตัวเองหลายคน เรื่องนี้ก็น่าจะเกิดจากปัญหาส่วนตัว เนื่องจากในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ มีการปะทะคารมกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ซึ่งอาจจะสร้างความไม่พอใจกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ก็เป็นได้