สองพี่น้องเรียนจบ ปวส.ไฟฟ้า กับ มัธยม 6 สายศิลป์ฝรั่งเศส ร่วมกันสานต่อธุรกิจสวนกล้วยไม้ต่อจากรุ่นพ่อหนีน้ำท่วมจากนครปฐม มาขยายพื้นที่ที่สุพรรณบุรีแบบครบวงจรระดับประเทศสร้างรายได้เดือนละกว่า 1,000,000 บาท

ที่จังหวัดสุพรรณบุรี นายวันชัย นิลวงศ์ เกษตรจังหวัดสุพรรณบุรี นำทีมเจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตรจังหวัดสุพรรณบุรี เจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตรอำเภอดอนเจดีย์  ลงพื้นที่เยี่ยมชมการดำเนินงานของชิตทรัพย์ฟาร์ม  หมู่ 2 ตำบลทะเลบก อำเภอดอนเจดีย์ ฟาร์มกล้วยไม้รายใหญ่ที่สุดของ จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีคุณคมสันต์ จันทรอุดร (ต้อย) อายุ 43 ปีและ คุณพงษ์ศักดิ์ จันทรอุดม (ตุ้ย) อายุ 39 ปี ผู้จัดการฟาร์มให้การต้อนรับ

คุณคมสันต์ (ต้อย) เปิดเผยว่าหลังจากตนเรียนจบชั้น มัธยม 6 ศิลป์ฝรั่งเศส และคุณพงษ์ศักดิ์ (ตุ้ย) น้องชายเรียนจบระดับ ปวส.ไฟฟ้า  ก็ได้ออกมาช่วยธุรกิจครอบครัว ทำฟาร์มกล้วยไม้ เดิมสวนอยู่ที่ อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ขณะธุรกิจกำลังไปได้ดีและปี 2554 ก็เกิดวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ จึงย้ายมาอยู่ที่อำเภอดอนเจดีย์ โดยพ่อเป็นคนตระเวนหาสถานที่ จากนั้นก็แบ่งพื้นที่ปรับพื้นที่สร้างโรงเรือน เพาะเลี้ยงกล้วยไม้ สายพันธุ์ตระกูลหวาย ม็อกคาร่า แคท ส่วนมากจะเป็นหวายตัดดอก เช่นแดงอุดร เอียสกุล ขาว 5 N เป็นตัวหลัก  และยังมีไม้นิ้ว ที่เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ไว้จำหน่าย ส่วนใหญ่กล้วยไม้ที่สวนเราจะเป็นกล้วยไม้ที่เพาะจากเนื้อเยื่อทุกต้น

สวนของเราเป็นสวนกล้วยไม้แบบครบวงจรเพาะเนื้อเยื่อเองเริ่มตั้งแต่การคัดหน่อที่มีคุณภาพสายพันธุ์ที่ดี ต้นพ่อต้นแม่ที่ทนโรค เอาหน่อเข้าไปฆ่าเชื้อในห้องเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อแล้วขึ้นเช็คเกอร์ ตีวุ้นทำโพรโพรคอมท์ แล้วขยายโปรก่อนเอามาปักดำในขวด ในห้องแล็ปเสร็จก็เอามาผึ่งขวด ส่วนใหญ่ไม้ขวดก็จะเป็นของเอียสกุล เสร็จแล้วก็จะมาเขี่ยเอาต้นออกจากขวดแล้วเอามาผึ่งในแปลงพอได้ต้นที่แข็งแรงก็จะเอามาพันเป็นไม้นิ้วพอได้ไซซ์ที่ลูกค้าต้องการถึงจะขาย

ส่วนความโดดเด่นของกล้วยไม้ที่สวนก็จะมีสายพันธุ์แดงอุดร ที่ผสมเองลักษณะสีจะเข้มดอกใหญ่ช่อยาว และทนต่างจากเอียสกุลที่สีจะอ่อนกว่า ช่อและดอกจะเล็กกว่าเล็กน้อย ส่วนไม้นิ้วราคาเริ่มต้นที่ต้นละ 7 บาทแล้วแต่ขนาดส่วนช่อก็จะขายเป็นกิโล ราคาก็ตามท้องตลาด ณ เวลานั้น จะอยู่ประมาณ 50-100-150-200 บาทราคาขึ้นลงตามตลาด พันธ์ที่ขายดีตลาดต้องการมากก็คือแดงอุดร แม่ค้าตลาดจะชอบมากเพราะสีจะเข้มนำไปกำกับใบเตย  ลูกค้าที่นำไปไหว้บูชาพระจะชอบมากเพราะสวยและทนอยู่ได้นาน ส่วนงานแต่งก็จะนิยมใช้สีโอรส ออกส้มๆ  นอกจากนี้ก็จะเป็นพันธ์ม็อกคาร่า สีออกเหลืองทำเป็นไม้นิ้วเพราะราคาจะสูงกว่า ส่วนใหญ่สวนเราที่นี่จะขายเป็นไม้นิ้ว  ระยะเวลาเริ่มตั้งแต่อยู่ในห้องแล็ป จนถึงออกดอกจะอยู่ประมาณ 9 เดือนถึงจะเริ่มมีดอก การดูแลให้ปุ๋ยก็อาทิตย์ละ 1 ครั้งให้น้ำวันละครั้งแต่ก็จะสังเกตดูว่าวันไหนอากาศร้อนต้นแห้งก็จะให้วันละ 2 ครั้ง

ปัญหาที่พบส่วนมากก็คือเรื่องราคา เพราะช่วงราคาถูกจะนานกว่าช่วงราคาแพงที่มีประมาณ 1-2 เดือน จากนั้นราคาก็ถูก นอกจากนี้ก็จะมีโรคแมลง เพลี้ยไฟ ไรแดง จะเยอะ และบั่ว ถ้าฝนตกมากก็จะเน่า เชื้อราจะลง สวนของเรานอกจากจะมีกล้วยไม้แล้วยังปลูกมะพร้าน้ำหอม ไว้ใช้ในห้องแล็ป ใช้น้ำมะพร้าวน้ำหอมเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ มีทุเรียน นาข้าว มะม่วง และเตย ซึ่งเตยจะปลูกไว้ด้านล่างกล้วยไม้ ให้กินปุ๋ยที่เหลือจากกล้วยไม้ พื้นที่ทั้งหมด 200 ไร่  
 

สำหรับตลาดไม้นิ้วของเราก็จะอยู่ที่ จีน เวียดนาม อินเดีย อเมริกา ซึ่งจะมีบริษัทรับส่งสินค้าเป็นผู้ส่ง ส่วนของเวียดนามผู้ซื้อจะมาดูด้วยตัวเองและส่งแพ็คที่โรงแพ็ค ซึ่งอยู่ที่เมืองไทยก่อนจะส่งไปเวียดนาม ส่วนตลาดในประเทศส่วนมาก็จะเป็นสวนกล้วยไม้ด้วยกัน จะเอาไม้นิ้วไปลงแปลงประมาณ 3-4 ปีก็จะเปลี่ยนพันธ์ ลูกค้าจะสั่งเอาไว้แล้วเราก็จะไปส่งให้ ถ้าเป็นดอก เป็นช่อก็จะส่งที่ปากคลองตลาด ตลาดที่สุพรรณบุรี อยุธยา รายได้ต่อเดือนจากขายไม้นิ้ว ไม้กระถาง ดอก ช่อรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท

สำหรับแรงบันดาลใจที่ทำให้เราสองพี่น้องต้อมาทำกล้วยไม้ด้วยตัวเองเพราะเคยไปเดินตลาดดอกไม้ที่ปากคลองตาด และสอบถามแม่ค้า ทำเรารู้ราคาและเรื่องการตลาด จึงตัดสินใจมาช่วยพ่อแม่ทำช่วยกันคิดช่วยกันทำ สำหรับเกษตรกรท่านใดที่สนใจอยากทำสวนกล้วยไม้สามารถเข้า มาศึกษาเรียนรู้ได้ที่สวนเรายินดีให้ความรู้ไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น  สามารถโทรสอบถามได้ที่ 084-6635949  

นายวันชัย นิลวงศ์ เกษตรจังหวัดสุพรรณบุรี เปิดเผยว่า ที่ฟาร์มแห่งนี้ มีกล้วยไม้อยู่ประมาณ 3 สายพันธุ์  มีตระกูหลาย ตระกูลแค็ท ตระกูลม็อก เป็นฟาร์มกล้วยไม้ขนาดใหญ่ระดับประเทศ แบบครบวงจรมีห้องแล็ปเป็นของตัวเอง ผสมสายพันธุ์เอง  ผสมดอกเอง จุดเด่นคือเลี้ยงเนื้อเยื่อ ปั่นตาเอง กระบะ กระถางกาบมะพร้าวก็เอามาปั่นเอง ซึ่งทำมาตั้งแต่รุ่นพ่อ ที่นครปฐม ทำให้ช่วยลดต้นทุนการผลิต ทำให้สิ่งที่เหลือใช้แทบจะไม่มีเลยมีการนำอิฐบล็อกมาประยุกต์ใช้ ดังนั้นจึงฝากถึงพี่น้องเกษตรกรว่าอย่าทำสินค้าตัวเดียวเหมือนที่นี่ เพื่อลดความเสี่ยงเรื่องราคา