วันเสาร์ ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2568 13:28 น.

ภูมิภาค

หนึ่งเดียวในโลก “แสกเต้นสาก” วันบวงสรวง “โองมู้” นักรบผู้ยิ่งใหญ่ของชาวแสก

วันอาทิตย์ ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567, 20.13 น.

วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 09.00 น. ณ ศาลเจ้าเดนหวั่วโองมู้ ริมแม่น้ำโขง บ้านอาจสามารถ หมู่ 4 ต.อาจสามารถ อ.เมือง จ.นครพนม นายวันชัย จันทร์พร ผวจ.นครพนม พร้อมด้วย นางสงวน จันทร์พร นายกเหล่ากาชาดฯ นางสาวศุภพานี โพธิ์สุ นายก อบจ.นครพนม นายสมศักดิ์ บุญจันทร์ นายอำเภอเมืองนครพนม นางสาวณัตติยา สีใส ส.อบจ.อำเภอเมืองนครพนม เขต 1 ได้ร่วมพิธีเปิดงานประเพณีวันรวมใจไทแสก ประจำปี 2567 หรือวันปีใหม่ชาวไทแสก ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 3 โดย นายปรีชา ศรีสงค์ นายก อบต.อาจสามารถ และ ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการจัดงาน ว่า เพื่อเป็นการสืบสานประเพณีชาวไทแสก ซึ่งเป็น 1 ใน 9 ชนเผ่าของจังหวัดนครพนม ที่มีบันทึกถึงถิ่นฐานเดิมอยู่ในประเทศจีนและเวียดนาม ก่อนจะอพยพล่องลงมาถึงเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน สปป.ลาว แล้วข้ามแม่น้ำโขงมาอยู่ที่ ต.อาจสามารถ อ.เมืองนครพนม ฯลฯ

 


ด้าน นายไพรัตน์ สุสิงห์ กำนัน ต.อาจสามารถ กล่าวว่างานวันรวมใจไทแสก เป็นวันที่ชาวไทแสกทุกคน ต้องมารวมตัวกัน ณ ศาลเจ้าเดนหวั่วโองมู้ ในวันขึ้น 2 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปี เพื่อแสดงออกถึงความเคารพและนับถือซึ่งดวงวิญญาณบรรพบุรุษคือโองมู้ ที่ชาวไทแสกให้ความเคารพสักการะ กิจกรรมในครั้งนี้ ประกอบด้วย พิธีกรรมการกินเตรดเดน ซึ่งเป็นภาษาไทแสก หมายถึงจัดพิธีบวงสรวงไหว้บรรพบุรุษ คล้ายประเพณีวันตรุษจีน ทั้งนี้ชาวไทแสกเชื่อว่าเป็นพิธีกรรมที่มีความสำคัญ เป็นการสร้างศรัทธา ความเชื่อมั่น ก่อให้เกิดความรักความผูกพัน สร้างจิตสำนึกและหวงแหนในวัฒนธรรมของตน มุ่งสอนให้ผู้น้อยให้ความเคารพนับถือผู้ใหญ่กว่า มีความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ และเป็นการพบปะสังสรรค์กันทุกครัวเรือน


หลังพิธีบวงสรวงโองมู้ แล้ว คือการแสดงแสกเต้นสาก ซึ่งเป็นการละเล่นประจำชนเผ่า จะมีขึ้นเฉพาะพิธีบวงสรวงโองมู้ ในวันขึ้น 2 ค่ำ เดือน 3 เท่านั้น โดยชาวแสกจะเต้นสากถวายโองมู้ โดยอดีตใช้สากตำข้าว ลักษณะยาวประมาณ 2 เมตร ตรงกลางเรียวเล็ก ตีกระทบกันเป็นจังหวะประกอบการเต้น ร่วมกับดนตรีพื้นบ้าน เช่น กลองใหญ่ กลองเล็ก ฆ้อง ฉิ่ง ฉาบ และพังฮาด ที่มีลักษณะคล้ายฆ้อง ตรงกลางจะนูนเป็นวงกลม ภายหลังชาวแสกเลิกใช้สากตำข้าว จึงหันมาใช้ไม้ชนิดอื่นสมมติว่าเป็นสากตำข้าว แม้เสียงจะไม่หนักแน่นเหมือนสากกะเบือยักษ์ แต่ความไพเราะก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

 


การเต้นจะใกล้เคียงกับรำลาวกระทบไม้ (มีบันทึกว่าการเต้นสากเป็นต้นฉบับรำลาวกระทบไม้) และจังหวะจะโจ๊ะและเร็วกว่าลาวกระทบไม้ มีทั้งเต้นเดี่ยว เต้นคู่ โดยผู้ทำหน้าที่เคาะไม้สากจะนั่งตรงข้ามจับคู่กันประมาณ 5 ถึง 7 คู่ คนเต้นกับคนเคาะไม้จะต้องเข้าขา ผ่านการซ้อมกันมาอย่างดี ต่อมารำแสกเต้นสาก ได้รับการสนับสนุนส่งเสริมจากหน่วยงานราชการ เพื่อให้ดำรงคงอยู่เป็นสมบัติของชาวไทแสกตลอดไป พร้อมพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งของจังหวัดนครพนม


ทั้งนี้ การละเล่นแสกเต้นสาก จากเดิมมีให้เห็นเฉพาะในวันบวงสรวงโองมู้ ปัจจุบันมีให้ชม ในวาระสำคัญของ จ.นครพนม เช่นมีแขกบ้านแขกเมืองมาเยือน หรือเทศกาลอื่นๆ ถือเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัด

 


จากบันทึกของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้กล่าวไว้ในหนังสือโบราณคดี เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชาวแสก ว่า มีถิ่นเดิมอยู่แถบเมืองวินห์ เมืองรอง ตั้งอยู่ระหว่างชายแดนจีนและเวียดนาม โดยอพยพมาตามแม่น้ำโขง มีบางส่วนได้แยกไปตั้งถิ่นฐานอยู่แคว้นสิบสองปันนา บางกลุ่มโยกย้ายอยู่บ้านโพธิ์ค้ำ บ้านตอกดอกแค เมืองท่าแขก สปป.ลาว และมีบางส่วนได้อพยพข้ามแม่น้ำโขงมาอยู่ฝั่งประเทศไทย ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โดยมีโองมู้เป็นผู้นำในการอพยพในครั้งนี้


ซึ่งจากงานเขียนของนายสุรจิตร จันทรสาขา ได้กล่าวไว้ว่า พระสุนทรราชวงษา (ฝ้าย) ให้ชาวแสกตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ป่าหายโศก เพราะทรงเห็นว่ามีนิสัยรักสงบ และทรงแต่งตั้งให้เป็นกองอาทมาต ทำหน้าที่ลาดตระเวนตามแนวน้ำโขง ภายหลัง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.3 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า แต่งตั้งชุมชนเผ่าไทแสกให้เป็นเมืองอาทมาตขึ้นกับเมืองนครพนม โดยให้ท้าวฆาน บุตดี เป็นหลวงเอกอาษา ทำหน้าที่เป็นเจ้าเมือง ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเมืองจากอาทมาตเป็นเมืองอาจสามารถ

 


และในเอกสารจดหมายเหตุ ร.3 จ.ศ.1191 เลขที่ 3 หอสมุดแห่งชาติ มีข้อความกล่าวถึงประวัติการตั้งเมืองอาจสามารถ ว่า ประเทศไทยได้มีการปฏิรูปการปกครองส่วนภูมิภาค ให้เป็นแบบเดียวกันทั่วราชอาณาจักร โดยให้ยกเลิกการปกครองแบบโบราณของเมืองต่างๆในภาคอีสาน ซึ่งเคยปกครองแบบมีเจ้าเมืองอุปฮาต ราชวงศ์ และ ราชบุตรทั้งหมด ให้เปลี่ยนเป็นตำแหน่งผู้ว่าราชการเมือง ปลัดเมือง ยกบัตรเมือง โดยให้เมืองนครพนมมีพระยาพนมนครานุรักษ์ เป็นผู้ว่าราชการเมือง แบ่งการปกครองออกเป็น 6 อำเภอ คือ 1.อ.เมืองนครพนม 2.อ.เรณูนคร 3.อ.อาจสามารถ 4.อ.อากาศอำนวย 5.อ.กุสุมาลย์ และ มลฑลอำเภอโพธิไพศาล

 


ต่อมา อ.อากาศอำนวย อ.กุสุมาลย์ และมลฑลอำเภอโพธิไพศาล ถ่ายโอนไปขึ้นกับ จ.สกลนคร ส่วน อ.อาจสามารถได้ปรับเปลี่ยนมาเป็น ต.อาจสามารถ เนื่องจากเขตอำเภอเมืองฯ กับ อ.อาจสามารถมีพื้นที่ติดกัน ห่างกันแค่ 4 กม.เท่านั้น โดยชนเผ่าไทแสก จะอาศัยอยู่มากที่บ้านอาจสามารถ และบ้านไผ่ล้อม ต.อาจสามารถ อ.เมืองนครพนม มีบางส่วนที่แยกไปอยู่ที่บ้านบะหว้า อ.นาหว้า และ บ้านดอนสมอ อ.ศรีสงคราม ทั้งนี้ทั้งนั้นแม้จะแยกย้ายกันไปตั้งบ้านเรือนอยู่ต่างบ้านต่างอำเภอ แต่ชนเผ่าไทแสกจะมีบรรพบุรุษคนเดียวกันคือโองมู้นั่นเอง.

หน้าแรก » ภูมิภาค