เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 4 มิ.ย.ที่ห้องประชุมโรงแรมโฮเทลฟิวส์ระยอง อ.เมือง จ.ระยอง น.ส.สลารีวรรณ ทัพทวี รอง ผวจ.ระยอง เป็นประธานเปิดเวทีเสวนาเพื่อแก้ไข เรื่องอนาคต สับปะรดไทย ซึ่งจัดขึ้นโดยสภาอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง มีเกษตรกรชาวไร่สับปะรดในจังหวัดระยอง เข้าร่วมเวทีเสวนา โดยมีวิทยากรเสวนาให้ความรู้ ประกอบด้วย นายพนม อัตตนาถ อาจารย์ประจำวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเพชรบุรี นายชัชวาล เปาทอง ผอ.ฝ่สยจัดหาวัตถุดิบ บ.อาหารสยาม จก.นายวสันต์ รื่นรมย์ เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ นอกจากนี้ยังมีการบรรยายพิเศษเรื่อง มุมมองอนาคตสับปะรดไทยในเวทีโลก โดย นายสิริ ชมชาญ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านยุทธศาสตร์สับปะรดแห่งชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และมอบนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับอนาคตสับปะรดไทย โดยนายกฤษ อุตตมะเวทิน ผู้ตรวจราชการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 
   
นายเสนาะ รอดระหงษ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง เปิดเผยว่า ในอดีตจังหวัดระยอง เป็นพื้นที่ปลูกสับปะรดมีคุณภาพสูงลำดับต้นๆ ของประเทศ แต่ปัจจุบันเกษตรกรผู้ปลูกสับปะรดจังหวัดระยอง ประสบปัญหาเรื่อง แรงงาน ปุ๋ยเคมี สารเคมีและอื่นๆ ราคาสูงขึ้นทำให้ต้นทุนของเกษตรกรสูงขึ้นตามไปด้าน ปัจจุบันต้นทุนขึ้นมาอยู่ที่ 6.40  บาท/กก. และผลผลิตตกต่ำลงมามาก เดิมผลผลิตสับปะรดอยู่ที่ 6-7 ตัน/ไร่ แต่ปัจจุบันเหลือ 4-5 ตัน/ไร่ เท่านั้น สาเหตุเกิดจากหลายปัจจัยดังกล่าว ทั้งจากสับปะรดโรคเหี่ยว บังคับผลออกไม่ได้ ภัยแล้งขาดน้ำทำให้ผลผลิตเสียหาย ทั้งนี้สภาอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง ได้เล็งเห็นความสำคัญของปัญหา จึงได้จัดเวทีเสวนาดังกล่าวขึ้นมา เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาในระยะยาว และให้สอดคล้องกับโรงงานรับซื้อ เพื่อความมั่นคงและยั่งยืนของเกษตรกรผู้ปลูกสับปะรดจังหวัดระยองต่อไป

ด้าน น.ส.สลารีวรรณ ทัพทวี รอง ผวจ.ระยอง เปิดเผยว่า จังหวัดระยอง ถือเป็นหนึ่งในแหล่งเพาะปลูกสับปะรดที่สำคัญของประเทศ แต่ปัจจุบันพื้นที่ปลูกสับปะรดมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ในปี 2568 เหลือเพียง 16,663 ไร่ ลดลงร้อยละ 51.90 และผลผลิต 92,983 ตัน ลดลงร้อยละ 46.02 เนื่องจากเกษตรกรผู้ปลูกต้องเผชิญกับปัญหาหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นด้านราคาตกต่ำ ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น การขาดแคลนช่องทางการตลาด ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อคุณภาพการผลิต ทำให้เกษตรกรปลูกสับปะรดน้อยลง การเสวนาที่จัดขึ้นดังกล่าว เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ร่วมกันคิดหาแนวทาง เพื่อแก้ไขปัญหาในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศของสับปะรด เพื่อให้สับปะรดไทย ไม่เพียงเป็นผลไม้เศรษฐกิจที่ยั่งยืน แต่ยังสามารถแข่งขันในระดับโลกได้อย่างมั่นคงในอนาคตอีกด้วย