วันที่ 7 กรกฎาคม 2568 บริเวณริมแม่น้ำโขง ถนนสุนทรวิจิตร เขตเทศบาลเมืองนครพนม นายปราชญา อุ่นเพชรวรากร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม และ ท่านวันไซ พองสะหวัน เจ้าแขวงคำม่วน สปป.ลาว พร้อมด้วยหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ร่วมประกอบพิธีบวงสรวงองค์พญาศรีสัตตนาคราช เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว อนุรักษ์สืบสานงานประเพณีในพื้นที่ กระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยว และกระจายรายได้เข้าสู่จังหวัดนครพนม

ในปีนี้กระแสความศรัทธาล้นหลาม ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว รวมทั้งผู้ที่ศรัทธาจากทั่วสารทิศ ไม่ว่าจะเป็นคนในพื้นที่ นักท่องเที่ยวต่างถิ่น ทั้งยังได้รับความสนใจจากศิลปิน ดารา นักแสดง มาร่วมรำถวาย และร่วมพิธีบวงสรวงอย่างคับคั่ง ถือเป็นกระแสความศรัทธาจากคนทุกกลุ่มอย่างเห็นได้ชัด

ซึ่งกิจกรรมในพิธีเปิดงานวันแรก 7 เดือน 7 มีนางรำจากกลุ่มชาติพันธุ์รวม 9 ชนเผ่า 2 เชื้อชาติ(จีน เวียดนาม) ทั้ง 12 อำเภอที่อาศัยอยู่ใน จ.นครพนม ตั้งแต่สมัยอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์รุ่งเรือง ได้สวมชุดประจำชนเผ่า แสดงออกถึงขนบธรรมเนียม ประเพณีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ อีกทั้งเป็นการเชิญชวนประชาสัมพันธ์กระตุ้น เศรษฐกิจการท่องเที่ยว ให้นักท่องเที่ยวเดินทางมากราบไหว้ขอพร โดยได้กำหนดจัดงานบวงสรวงองค์พญาศรีสัตตนาคราช  ระหว่างวันที่ 7-13 กรกฎาคม รวม 7 วัน 7 คืน เป็นประจำทุกปี ณ บริเวณลานพญาศรีสัตตนาคราช

โดยพิธีแห่เครื่องบูชาพญาศรีสัตตนาคราช ได้ตั้งขบวนอยู่ที่บริเวณสี่แยกธนาคารกรุงไทย มีพานบายศรีขนาดความสูง 7.7 เมตร ทำจากใบตองกล้วยตานี ยอดเป็นองค์พระธาตุพนมจำลอง ถือว่าเป็นพานบายศรีที่สูงที่สุดในโลก พร้อมขบวนนางรำนำโดยแขกรับเชิญพิเศษ คุณแอนโทเนีย โพชิ้ว รองอันดับ 1 มิสยูนิเวิร์ส 2023 คุณอาทิติยา เบ็ญจะปัก หรือผู้กองแคท รองอันดับ 2 นางสาวไทย 2567 คุณตีน่า-คริตติน่า ไฟล์ชมันน์ Miss Thailand Friendly Design 2017 ซึ่งเป็นนางงามทูตอารยสถาปัตย์คนแรกของเมืองไทย  คุณไก่-วรายุส มิลินทจินดา ผู้จัดละครช่อง 3  คุณกิก-ดนัย จารุจินดา  และนางรำมากกว่า 2,000 ชีวิต เรียกได้ว่าปิดเมืองรำกันเลย

ทั้งนี้ ก่อนจะถึงพิธีแห่เครื่องบูชาบวงสรวง ในช่วงเช้ามีฝนตกลงมาเป็นระยะๆ พอถึงเวลาบ่ายท้องฟ้าโปร่งใส ไม่มีเมฆมาบดบังแสงอาทิตย์ ลักษณะเช่นนี้สำหรับชาวนครพนม จะทราบกันดีว่าวันแรกของพิธีบวงสรวงพญานาค อากาศจะเป็นเช่นนี้ทุกปี พอใกล้ถึงเวลาประกอบพิธีฟ้าจะสดใส แต่หลังเสร็จพิธีจะมีฝนตกลงมา และก็เป็นไปตามคาดหลังจบพิธีฝนก็ตกลงมาจริงๆ นับว่าเป็นสิ่งอัศจรรย์ใจเป็นอย่างมาก ที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ติดต่อกัน รวมถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลา 10 ปีแล้ว

สำหรับที่มาของการจัดงานบวงสรวงพญาศรีสัตตนาคราช จ.นครพนม กล่าวคือนาคเป็นสัตว์ในตำนาน ที่ดำรงอยู่ในวัฒนธรรมไทยมาอย่างยาวนานนับพันปี ซึ่งส่งอิทธิพลต่อความคิด ความเชื่อของผู้คนในหลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อ ความศรัทธา จารีตประเพณี ศิลปกรรมสถาปัตยกรรม ตำนานบ้านเมือง ตลอดจนคติทางศาสนาที่กล่าวว่า นาคเป็นผู้พิทักษ์ปกป้องศาสนสถาน นำความสุขความเจริญให้แก่พุทธบริษัท จึงมักปรากฏรูปนาคสร้างประกอบไว้ในศาสนสถานเสมอ

ปี พ.ศ.2556 จังหวัดนครพนมจึงได้ร่วมกับประชาชนในพื้นที่ และผู้ที่เคารพศรัทธา ต่อองค์พญานาค จัดสร้างประติมากรรมพญาศรีสัตตนาคราช เพื่อเป็นสัญลักษณ์เมืองที่แสดงถึง พลังแห่งความศรัทธา หล่อด้วยทองเหลืองมี 7 เคียร ขดลำตัว 3 ชั้น ขนาดกว้างรวมหาง 4.49 เมตร ประดิษฐานอยู่บนแท่นรวมความสูง 629 เมตร น้ำหนักรวม 9,000  กก. หันหน้าไปทางทิศเหนือเฉียงตะวันออก โดดเด่นเป็นสง่าท่ามกลางทัศนียภาพอันสวยงามริมแม่น้ำโขง บริเวณถนนสุนทรวิจิตร เขตเทศบาลเมืองนครพนม เพื่อให้ประชาชนได้สักการะบูชา โดยจังหวัดนครพนมได้จัดพิธีอัญเชิญองค์พญาศรีสัตตนาคราชขึ้นประดิษฐานและจัดพิธีสมโภชใหญ่พุทธาภิเษก เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2559

คติการสร้างได้กล่าวถึงพญาศรีสัตตนาคราชนั้นได้พิจารณาเห็นว่า ผิวกายตนมีโคลนตมคราบไคลที่มัวหมองเปรียบกับกิเลส ตัณหา ราคะอันเป็นมลทิน จึงได้ลอกคราบไคลเหล่านั้น ไว้เบื้องล่างเหลือเพียงผิวกาย สีทองอร่าม เป็นสิริมงคล แล้วขึ้นไปขดอยู่บนแท่นอันเป็นเอกมงคลแห่งนี้ เพื่อให้ผู้ที่มีความศรัทธาได้เดินทางมาสักการะขอพร ส่วนพระศอคล้องสังวาลรูปสัญลักษณ์ เหนือซุ้มประตูพระธาตุพนม แสดงถึงการเป็นพญานาคผู้รักษาองค์พระธาตุพนม