วันอาทิตย์ ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2568 03:07 น.

ภูมิภาค

มาทำความรู้จัก "หลักเขตแดนที่ 50 กรุงสยาม–กัมพูชา" ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติปราจีนบุรี

วันเสาร์ ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 19.46 น.

เพลง มณฑลบูรพา (บทร้องหลังสิ้นสุดกรณีพิพาทอินโดจีน)...  มณฑลบูรพา เคยเป็นแดนของเรา..เสียมราฐ พระตะบอง บ้านพี่เมืองน้องมาช้านาน แต่ครั้งโบราณก่อนเก่า ไทย ชาติไทยใจเศร้า เลือดเนื้อเชื้อเผ่า เขามาพรากจากไป คอย ไทยเราเฝ้าคอย สามสิบปีไทยน้อย เฝ้าคอยหงอยเหงา ต้องทุกข์ต้องรอ ปี พ.ศ. แปดสี่ ดินแดนแห่งนี้ ได้อยู่คืนหลังดั่งเก่า ครั้นเสร็จสงคราม ทุกข์ยังตามมา คอยฉุดคอยคร่า เพื่อนบูรพา พรากไปเสียจากไทย พี่น้องบูรพา ร่วมแผ่นพสุธา ต้องอยู่ดังว่า ตราบดินฟ้าสิ้นไป …

ข้างต้นนี้  เป็นบทเพลง "มณฑลบูรพา" เป็นเพลงปลุกใจที่แต่งโดยหลวงวิจิตรวาทการ เนื้อหาของเพลงกล่าวถึงความเสียใจและความหวังที่จะได้ดินแดนในอดีตของไทยกลับคืนมา โดยเฉพาะดินแดนที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลบูรพา ได้แก่ เสียมราฐ พระตะบอง และ  เมืองอื่นๆ ในปัจจุบันอยู่ในประเทศกัมพูชา 

และ  เมื่อเร็ว ๆนี้  เพจของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี : Prachinburi National Museum  พร้อมภาพถ่ายหลักเขตแดนไทย - กัมพูชาที่ 50  ได้ระบุข้อความอธิบายประกอบภาพว่า ...   กรณีที่ปรากฏกระแสข่าวเกี่ยวกับหลักเขตแดนไทย -กัมพูชา นั้น  พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี ขอนำเสนอบทความที่เคยตีพิมพ์ไว้แล้ว เมื่อปีพ.ศ. 2564 เรื่อง"หลักเขตแดนที่ 50”  โบราณวัตถุชิ้นล่าสุดของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี ...

"หลักเขตแดนที่ 50 กรุงสยาม – กัมพูชา” ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี เป็นโบราณวัตถุชิ้นอีก 1หลักฐานชัดเจน  ที่ระบุว่า “ไทย – กัมพูชา” ได้ปักปันเขตแดนแล้วตั้งแต่สมัย ร.5 ไม่ใช่เพิ่งปักปัน ตามที่นักการเมืองทั้งหลายกล่าวอ้างวาทกรรมกัน และหลักเขตไทยที่ตั้งอยู่ที่ด่านปอยเปต อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้วปัจจุบันไม่ใช่ดินแดนกัมพูชาล้วนเป็นของไทยในปัจจุบัน 

นางสาววัชรี ชมภู  ผอ.พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี กล่าวว่า "หลักเขตแดนที่ 50 กรุงสยาม – กัมพูชา เป็นโบราณวัตถุชิ้นล่าสุด ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี มีขนาดกว้าง 40 เซนติเมตร หนา 40 เซนติเมตร สูง 123 เซนติเมตร สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติรับมอบจากจาก ทายาทของ พลเอกมังกร  พรหมโยธี เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2559ต่อมาได้ส่งมอบให้กับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี เมื่อวันที่ 16กันยายน 2564 หลักเขตแดนกรุงสยาม – กัมพูชา กั้นชายแดนระหว่างกรุงสยาม และกัมพูชาฝรั่งเศส โดยการดำเนินการปักปันเขตแดน ระหว่างปี พ.ศ. 2451 – 2452  ในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นหลักปูนซีเมนต์สี่เหลี่ยม ปลายตัดแหลม  มีข้อความ 4 ภาษา ได้แก่ ภาษาไทย เขมร อังกฤษ และฝรั่งเศส ปรากฏอยู่ทั้ง 4 ด้าน

มีจำนวน  73  หลัก  เริ่มต้นหลักที่ 1 ที่ บริเวณช่องเกล หรือช่องสะงำ ตำบลไพรพัฒนา อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีษะเกษ ไปทางทิศตะวันตกตามแนวเทือกเขาบรรทัดลงไปทางทิศใต้จนกระทั่งสิ้นสุดลงที่หลักที่ 73 บริเวณพื้นที่รอยต่อระหว่างบ้านหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด กับบ้านจามเยียม จังหวัดเกาะกง ประเทศกัมพูชา ปัจจุบันหลักเขตเหล่านี้มีอายุ 117 ปี นับจากปีที่เริ่มการปักปันเขตแดน

สำหรับ หลักเขตแดนที่ 50 กรุงสยาม – กัมพูชา เดิมตั้งอยู่ที่ด่านปอยเปต อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483 กองทัพฝรั่งเศสเคลื่อนกำลังเข้าประชิดชายแดนไทย ส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดที่จังหวัดนครพนม  วันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2484 ไทยประกาศสงครามกับฝรั่งเศส    แม่ทัพคือพลเอกมังกร พรหมโยธี ทัพไทยเปิดแนวรบโดยกองพลพายัพ กองทัพอีสาน กองทัพบูรพา กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ร่วมกันโจมตีอินโดจีนของฝรั่งเศสในทุก ๆ ด้าน

ในที่สุดฝ่ายไทยมีท่าทีว่าจะชนะเด็ดขาด  ญี่ปุ่นซึ่งมีฐานทัพอยู่ในอินโดจีนเสนอตัวเข้าไกล่เกลี่ยด้วยเกรงว่าหากไทยชนะจะเป็นอุปสรรคต่อการที่ญี่ปุ่นจะรุกรานลงใต้ ผลจากการไกล่เกลี่ย ฝรั่งเศสยินยอมยกดินแดนที่เคยยึดไปจากไทยสมัยรัชกาลที่ 5 คืนให้ฝ่ายไทย โดยมีการลงนามในอนุสัญญา 3 ฝ่ายระหว่างไทย ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น  เมื่อวันที่9พฤษภาคม พ.ศ. 2484 หลักเขตแดนไทย-กัมพูชาที่อรัญประเทศจึงถูกยกเลิกหลักเขตหมายเลข 49 และ 50 ถูกถอนออก

จากการรบในสงครามอินโดจีนครั้งนั้นทำให้ไทยสูญเสียกำลังพลทั้งทหาร ตำรวจ และพลเรือน จำนวน 59 คน ต่อมาภายหลังรัฐบาลไทยจึงสร้างอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานเชิดชูเกียรติ เทิดทูนวีรกรรมของผู้สละชีวิตในการปกป้องประเทศ

สำหรับหลักเขตหมายเลข 49ได้มอบไว้แก่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์  ส่วนหลักเขตหมายเลข 50 พลเอกมังกร พรหมโยธี ได้รักษาไว้และตกทอดสู่ทายาท ซึ่งภายหลังทายาทพลเอกมังกร พรหมโยธี ได้แก่ คุณเจตกำจร  พรหมโยธี คุณกำจรเดช  พรหมโยธี  คุณอภิภู พรหมโยธี  และคุณองคฤทธิ์ พรหมโยธี ได้มอบไว้ให้กรมศิลปากรเพื่อดูแลรักษา และเป็นสาธารณประโยชน์ในเผยแพร่ประวัติศาสตร์ชาติไทยในช่วงระยะเวลาดังกล่าวแก่อนุชนรุ่นหลังสืบไป และที่ จ.ปราจีนบุรียังมีค่ายพรหมโยธี เป็นชื่อค่ายทหารในจังหวัดปราจีนบุรี โดยตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ พันเอก หลวงพรหมโยธี (มังกร พรหมโยธี) อดีตรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด รองแม่ทัพบก และแม่ทัพภาคบูรพา ค่ายแห่งนี้เป็นที่ตั้งของ กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ และ กรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์กองพลทหารราบยานเกราะที่สมบูรณ์แบบในประเทศแห่งแรก  นางสาววัชรี กล่าว

บนหลักฐานชั้นต้นทางประวัติศาสตร์ทั้งโบราณวัตถุ ที่กล่าวมาข้างต้นแล้วนี้ บ่งชี้ชัดเจนดินแดนไทย – กัมพูชา นั้น ได้ปักปันกันเสร็จสิ้นจบแล้ว ตั้งแต่ครั้งสมัยรัชกาลที่ 5  ยังมีปมอันใดในการเรียกร้อง เพื่อปักปันเขตแดนอีก? ... หรือไทยเราจะยอมให้ถูกเฉือนดินแดนไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมของลูกหลายพระยาละแวกมัน!...

"หลักเขตแดนที่ 50 กรุงสยาม – กัมพูชา” ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี  ต.หน้าเมือง อ.เมืองปราจีนบุรี จ.ปราจีนบุรี จึง เป็นโบราณวัตถุอีก 1  ในหลักฐานชั้นต้น (Primary sources) เป็นหลักฐานที่มาจากยุคสมัยของเหตุการณ์นั้น ๆ (กรณีพิพาทอินโดจีน) หรือ สร้างขึ้นโดยผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์โดยตรง   ที่ระบุชัดเจนว่า  ไทย – กัมพูชาปักปันเขตแดนแล้ว   ตั้งแต่สมัย ร.5 ไม่ใช่เพิ่งปักปัน!  

รวมถึงหลักฐานเอกสารต่าง ๆ ทางประวัติศาสตร์  อาทิ อนุสัญญา ระหว่าง สยามกับฝรั่งเศสแก้ไขเพิ่มเติมข้อบทแห่งสนธิสัญญาฉบับลงวันที่ 3 ตุลาคม รัตนโกสินทรศก 112 (ค.ศ. 1893) ว่าด้วยดินแดนกับข้อตกลงอื่น ๆ ฉบับลงนาม ณ กรุงปารีส เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทรศก 122 (ค.ศ. 1904)  ,  สนธิสัญญา ระหว่าง สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยาม กับ ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส ฉบับลงนาม ณ กรุงเทพ มหานคร เมื่อวันที่ 23 มีนาคม รัตนโกสินทรศก 125 (ค.ศ. 1907) กับ พิธีสารว่าด้วยการปักปันเขตแดน แนบท้ายสนธิสัญญา ฉบับลงวันที่ 23 มีนาคม รัตนโกสินทรศก 125 (ค.ศ. 1907)   และแผนที่ ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยาม กับ อินโดจีน ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญา ค.ศ. 1904 และ สนธิสัญญา ค.ศ. 1907 กับเอกสารอื่น ที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้อนุสัญญา ค.ศ. 1904 และ สนธิสัญญา ค.ศ. 1907 กับเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้อนุสัญญา ค.ศ. 1904 และ สนธิสัญญา ค.ศ. 1907 ระหว่างสยามกับฝรั่งเศส”

เป็นการตอกย้ำ!  ยืนยันถึงในอดีตที่ผ่านมา ไทยกัมพูชา ได้มีการปักปันเขตแดนจบสิ้นสมบูรณ์ไปแล้วโดยสรุป มีหลัก เขตแดน ทั้งสิ้น 73 หลัก ตลอดแนวพรมแดน ไทยกัมพูชาดังกล่าว ปัญหาที่คนในชาติกลัวคือ   คือ MOU 43  MOU 44    เป็นการรื้อฟื้นการปักปันเขตแดนไทยกัมพูชาขึ้นมาทำใหม่ หรือไม่ซึ่งจะส่งผล กระทบ ทำให้เกิดพรมแดนเส้นเขตแดนใหม่ที่ไม่เหมือนเดิมเกิดขึ้นภายหลัง การปักปันเขตแดน ยิ่งจะทำให้ ปัญหาเรื่องพรมแดน ปะทุเป็นความขัดแย้งตลอดแนวพรมแดนไทยกัมพูชา เพิ่มยิ่งขึ้น   เพราะที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน  กัมพูชานั้นต้องการเคลมดินแดนขยายเขตแดนเพิ่มพื้นที่อาณาเขตของตน การรื้อฟื้นการปักปัน เขตแดน ตามMOU 43  MOU 44  ไม่เป็นผลดี ต่อประเทศไทยแน่

อนึ่ง MOU 43 (พ.ศ. 2543)  เป็นกรอบ “สำรวจ–ปักปันเขตแดนทางบก” และตั้ง คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) กำหนดให้ยึดเอกสารสนธิสัญญา 1904–1907 และหลักเขตเดิม 73 ตำแหน่งเป็นฐาน พร้อมทั้ง ห้ามทั้งสองฝ่ายทำอะไรที่เปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ชายแดน เว้นแต่ภารกิจสำรวจร่วม

ส่วน  MOU 44 (พ.ศ. 2544)   ว่าด้วย พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเล (Overlapping Claims Area: OCA) ในอ่าวไทย มีลักษณะเป็น “provisional arrangements / agreement to agree” เพื่อหาทางออกทั้งการแบ่งเขตกับการพัฒนาร่วม-ไม่ใช่เอกสารที่ยกอธิปไตยหรือปักเขตเด็ดขาดทันที และสอดคล้องหลักกฎหมายทะเลที่ให้คู่กรณีทำข้อตกลงชั่วคราวระหว่างเจรจา

หน้าแรก » ภูมิภาค