วันศุกร์ ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2568 02:45 น.

ภูมิภาค

โครงการชลประทานพิษณุโลก ร่วมพิธีน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาที่คุณ เนื่องในวันนวมินทรมหาราช

วันอังคาร ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 14.15 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชำนาญ ชูเที่ยง ผู้อำนวยการโครงการชลประทานพิษณุโลก มอบหมายให้นายวิทูร เกิดอินทร์ หัวหน้าฝ่ายจัดสรรน้ำและปรับปรุงระบบชลประทาน เข้าร่วมพิธีทำบุญตักบาตรข้าว สารอาหารแห้งแด่พระภิกษุสงฆ์และสามเณร จำนวน 89 รูป และร่วมพิธีวางพวงมาลา เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาที่คุณ เนื่องในวันนวมินทรมหาราช  13 ตุลาคม 2568  (วันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร) โดยมีนายบุญเหลือ บารมี รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก  เป็นประธาน  ณ  อาคารโดมอเนกประสงค์ ศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก

เนื่องใน “วันนวมินทรมหาราช” วันที่ 13 ตุลาคม 2568 ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ปวงชนชาวไทยต่างพร้อมใจกันแสดงความจงรักภักดีและน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างของกษัตริย์นักพัฒนา ผู้มองเห็นคุณค่าของเกษตรกรในฐานะ “กระดูกสันหลังของชาติ” และทรงมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยให้ดีขึ้นอย่างมั่นคงและยั่งยืน

ตลอดรัชสมัย พระองค์ทรงริเริ่ม “เกษตรทฤษฎีใหม่” ซึ่งต่อยอดจากแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้เกษตรกรสามารถจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยทรงแนะนำให้แบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วนตามอัตรา 30-30-30-10 เพื่อใช้สำหรับขุดสระเก็บน้ำ ปลูกข้าว ปลูกพืชผักสวนครัวและสมุนไพร รวมถึงพื้นที่อยู่อาศัย พร้อมพระราชทานแนวทางการพัฒนา 3 ขั้นตอน ได้แก่ การจัดการพื้นที่ในครัวเรือน การรวมกลุ่มเกษตรกรเป็นสหกรณ์เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตและการตลาด และการพัฒนาเชื่อมโยงกับภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้างความมั่นคงในระยะยาว

นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับ “การบริหารจัดการน้ำ” ซึ่งเป็นหัวใจของการเกษตรไทย พระองค์ทรงริเริ่มโครงการพัฒนาแหล่งน้ำหลายพันแห่งทั่วประเทศ อาทิ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ อ่างเก็บน้ำ ฝาย และ “โครงการแก้มลิง” ที่ทรงใช้หลักธรรมชาติช่วยบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ รวมถึงสิ่งประดิษฐ์อันทรงคุณค่าอย่าง “กังหันน้ำชัยพัฒนา” เพื่อฟื้นฟูคุณภาพน้ำเสียให้กลับมาใช้ประโยชน์ได้อีกครั้ง

ในด้านการพัฒนาที่ดิน พระองค์ทรงริเริ่ม “โครงการแกล้งดิน” เพื่อแก้ปัญหาดินเปรี้ยวในภาคใต้ ให้กลับมาเพาะปลูกได้อีกครั้ง และทรงส่งเสริม “โครงการปลูกหญ้าแฝก” เพื่ออนุรักษ์ดินและน้ำ ป้องกันการพังทลายของหน้าดิน ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นแนวทางการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ

อีกหนึ่งผลงานสำคัญคือการจัดตั้ง “ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ” ทั่วทุกภูมิภาค เช่น ศูนย์ห้วยฮ่องไคร้ ศูนย์พิกุลทอง และศูนย์ภูพาน ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ ทดลอง และถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเกษตรกรรมที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ของแต่ละภูมิภาค เปรียบเสมือน “พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต” ที่เผยแพร่แนวทางการเกษตรตามพระราชดำริให้ขยายผลไปทั่วประเทศ รวมถึง “โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา” ที่เป็นต้นแบบของการวิจัยและพัฒนาการเกษตรเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนมากกว่าผลกำไร

พระราชกรณียกิจด้านการเกษตรของในหลวงรัชกาลที่ 9 เปรียบเสมือนการ “ชุบชีวิต” ให้เกษตรกรไทยได้มีโอกาสฟื้นฟูตนเอง สร้างรายได้ และ ดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี บนพื้นฐานของความพอเพียงและความยั่งยืน พระองค์ทรงพิสูจน์ให้เห็นว่าความเจริญแท้จริงไม่ใช่การเติบโตทางวัตถุ หากแต่คือความมั่นคงทางจิตใจและคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน

ในโอกาส “วันนวมินทรมหาราช” 13 ตุลาคม 2568 ปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าพร้อมใจกันน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ และพร้อมสืบสาน รักษา และต่อยอดพระราชปณิธานแห่งความพอเพียง เพื่อร่วมกันพัฒนาชาติไทยให้มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตามรอยพระยุคลบาทของพ่อหลวง รัชกาลที่ 9 ตลอดไป.
 

หน้าแรก » ภูมิภาค