วันเสาร์ ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2568 03:20 น.

ภูมิภาค

117 ปี ย้อนรอยประวัติศาสตร์พระพุทธเจ้าหลวง ร.5 ทรงเสด็จประพาสดงศรีมหาโพธิ์

วันพุธ ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 18.19 น.

เมื่อเวลา 16.35 น.วันที่ 22 ต.ค.68 ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.ปราจีนบุรี  นางสาวสุภาวดี อินทรประเสริฐ หัวหน้ากลุ่มโบราณคดีสำนักศิลปากรที่ 5 ปราจีนบุรี กล่าวว่า   ในทุกวันที่ 23 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันปิยมหาราช ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยมีกิจกรรมหลักคือการ วางพวงมาลาและถวายบังคม ที่พระบรมรูปทรงม้า หรือพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระองค์ทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังมีการจัด ทำบุญตักบาตร อุทิศส่วนกุศล และ จัดนิทรรศการ เพื่อเผยแพร่พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจ นั้น

ที่ จ.ปราจีนบุรี  มีพระราชกรณียกิจโดดเด่นที่สำคัญและเหล่าพสกนิกรทุกหมู่เหล่าน้อมรำลึกถึง อาทิ ทรงเคยเสด็จประพาสต้นแม่น้ำปราจีนบุรีมามณฑลปราจีนบุรีดูแลทุกข์สุขของพสกนิกรซึ่ง เป็นเหตุการณ์สำคัญที่สะท้อนถึงพระราชดำริอันลึกซึ้งในการพัฒนาประเทศ ทั้งในด้านการปกครอง เศรษฐกิจ และศาสนา พระองค์เสด็จโดยขบวนเรือพระที่นั่งไปตามลำน้ำบางปะกง เข้าสู่เมืองปราจีนบุรี เพื่อทอดพระเนตรความเป็นอยู่ของราษฎร และเยี่ยมเยือนวัดวาอารามสำคัญในพื้นที่ ซึ่งกลายเป็นร่องรอยแห่งพระมหากรุณาธิคุณอันล้ำค่า ที่ชาวปราจีนบุรีรำลึกถึงตราบจนทุกวันนี้

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสเมืองปราจีน จำนวน 2ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2415 และครั้งที่สองเมื่อปี พ.ศ. 2451 โดยใช้เส้นทางตามคลองรังสิตคลอง 9 คลอง 10 ผ่านแม่น้ำนครนายกปากน้ำโยทะกาเข้าลำน้ำแม่น้ำปราจีนบุรี ขึ้นที่อำเภอศรีมหาโพธิ โดยในครั้งที่สอง พระองค์ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ (ในกาลต่อมารับราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6) พระราชบันทึกเรื่องราวการเสด็จประพาสโดยตลอดเส้นทางเสด็จ โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 17 – 18 ธันวาคม พ.ศ. 2451 ที่พระองค์เสด็จประพาสถึงเมืองศรีมหาโพธิ ดังนี้

วันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2451  ทรงลงเรือล่องไปขึ้นที่ทุ่งพลับพลา ณ อำเภอเมืองปราจีนบุรี เพื่อเยี่ยมชมตลาดหน้าเมือง จากนั้นล่องเรือขึ้นมาตามลำน้ำ เสวยพระกระยาหารที่ตำบลศรีมหาโพธิ ใต้ร่มไม้แห่งหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเป็นโคกสูง อยู่ทางใต้ของวัดอินทรแบกลงมา และได้ล่องเรือต่อไปยังพลับพลาที่ประทับแรม ณ อำเภอศรีมหาโพธิ ผ่านตลาดเป็นระยะ ๆ ที่ท่าพวกชาวป่าลง คือ ที่ท่าหาดและท่าเขมร ซึ่งเปลี่ยนชื่อว่า“ท่าประชุมชน”เมื่อถึงพลับพลาที่ประทับจึงได้เสด็จต่อไปยังบ้านเจ้าอลังการ (พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอลังการ) และได้เลยขึ้นไปชม ชุมชนท่าตูม ก่อนจะเสด็จกลับไปยังพลับพลาที่ประทับ ณ อำเภอศรีมหาโพธิ โดยทรงประทับพักแรมเป็นเวลา 1 คืน

ที่อำเภอศรีมหาโพธิพระองค์ทรงช้างไปยังบ้านโคกขวางเพื่อทอดพระเนตรโบราณสถานบ้านพานหิน โบราณสถานลายพระหัตถ์ และโบราณสถานหลุมเมือง  ณ เทวสถานโบราณดงศรีมหาโพธิ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้จารึกพระปรมาภิไธย “จปร 41/127” ลงบนแผ่นศิลาแลงขนาดสูง 1 เมตร กว้าง 50 เมตร ยาว 1 เมตร ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นซากของอาคารเก่าในสมัยทวารวดี โดยมีความหมายคือ 41 หมายถึงปีที่รัชกาลของพระองค์ และ 127หมายถึง ร.ศ. 127 ที่พระองค์ได้เสด็จประพาสมายังเมืองศรีมหาโพธิ

การเสด็จประพาสดงศรีมหาโพธิ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นับเป็นมิ่งขวัญ ให้แก่ชาวเมืองศรีมหาโพธิเป็นอย่างล้นพ้น ดังที่มีพระราชบันทึกว่าชาวบ้านที่มารับเสด็จต่างอยู่ในอาการ ชื่นชมยินดี และเข้ามากราบเทิดทูลพระองค์ไว้เหนือเกล้า รวมทั้งพากันเข้ามาขอให้พระองค์พระราชทานพรให้ ซึ่งนับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้นแก่ราษฎรเมืองศรีมหาโพธิที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพรแก่ชาวเมืองศรีมหาโพธิ ดังความว่า

“ขอให้ให้พรตามความปรารถนา คือถ้าทำนาก็ขอให้พรว่าให้ทำนาได้ข้าวงามดี ถ้าเจ็บเป็นโรคอะไรต้องเล่าโรคนั้นให้ฟัง แล้วขอให้ให้พรให้โรคนั้นหาย”

นอกจากนี้ การเสด็จประพาสเมืองศรีมหาโพธิในครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้ชื่นชมในรสชาติพระกระยาหารและเครื่องเสวยอาหารพื้นถิ่นของเมืองศรีมหาโพธิอย่าง ไก่เผา ปลาเผา และผัดน้ำพริก ซึ่งเจ้าเมืองและข้าราชการเมืองปราจีนบุรีจัดนำมาถวายไว้ด้วยว่า“ทำอร่อยดีมาก”

ด้วยความน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ในปี พ.ศ. 2457 ชาวเมืองศรีมหาโพธิ   จึงสร้างมณฑปคลุมหินที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวลงพระปรมาภิไธยไว้ ต่อมาได้เกิดชำรุดจึงได้มีการสร้างมณฑปใหม่ขึ้นมาทดแทนมณฑปเดิมในปี พ.ศ. 2473 ให้เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก มีลวดลายปูนปั้นรูปครุฑ ลายดอกไม้ โดยชาวเมืองศรีมหาโพธิ เรียกสถานที่นี้ว่า “อนุสาวรีย์ลายพระหัตถ์” หรือ “ลายพระหัตถ์” ตั้งอยู่ที่ ตำบลหนองโพรง อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี 

และได้จัดให้มี “งานเฉลิมฉลอง ลายพระหัตถ์ อำเภอศรีมหาโพธิ” ขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่มีต่อเมืองศรีมหาโพธิ และเพื่อปลูกฝังให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้เกิดจิตสำนึกรัก ในประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของตนเอง เห็นถึงความสำคัญในการอนุรักษ์มรดกโบราณสถาน และโบราณวัตถุที่มีคุณค่า ทางประวัติศาสตร์ของเมืองศรีมหาโพธิ ให้คงอยู่สืบไปนางสาวสุภาวดี กล่าว

ด้านนายธวัธชัย  ขยันยิ่ง อดีตประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี (อบจ.) และอดีตประธานสภาวัฒนธรรม อ.ศรีมโหสถ กล่าวว่า    วันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2451   ทรงขึ้นช้างของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ซึ่งมีชื่อว่า“กปุม”เพื่อเสด็จพระราชดำเนินไปสำรวจแหล่งโบราณสถานและเทวสถาน ณ ดงศรีมหาโพธิ ซึ่งมีการค้นพบในรัชสมัยของพระองค์

และพระองค์ทรงมีพระราชบันทึกถึงเรื่องประวัติดงศรีมหาโพธิไว้ในพระราชหัตถเลขา ดังความว่า…“ดงศรีมหาโพธินี้ ได้ชื่อจากต้นโพธิ์ต้นหนึ่ง ซึ่งว่าเป็นโพธิ์เก่าแก่ เป็นที่นับถือสักการะบูชา ระยะห่างจากโคกฝางนี้ประมาณเช้าชั่วเพลแต่ก็อยู่ชายดง ว่าโพธิ์นั้นตั้งอยู่บนโนน แต่คนแก่เขาบอกว่าไม่ใช่โนน เป็นทรายที่คนนับถือไปบูชา กองพอก ๆ ขึ้นไปจนเป็นโนนสูงสัก 6 ศอกเศษ มีพระรูปหนึ่งออกมาสร้างวัด เรียกชื่อว่าหลวงพ่ออิฐ จะถามหาปีเดือนว่าได้สร้างเมื่อใดก็บอกไม่ถูก ได้ความแต่ว่าวัดนั้น ได้สร้างมาแต่เมื่อยายแก่อายุ 60 ปี ได้เห็นเป็นวัดอยู่แล้ว พระเป็นไทยบ้าง ลาวบ้างปนกัน มีพระบาทจำลอง 

ฤดูเดือนห้า ราษฎรพากันไปไหว้ต้นโพธิ์และพระบาท มาแต่ไกลจากเมืองพนมสารคามท่าประชุมและที่อื่น ๆ เป็นตลาดนัดซื้อขายจอแจกัน 2 วัน 3 วัน และมีดอกไม้เพลิงบ้องไฟเป็นต้นมาจุดในการ นักขัตฤกษ์นี้”นายธวัธชัย  กล่าว

และกล่าวต่อไปว่า สำหรับต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่วัดต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี มีความสำคัญอย่างมากเนื่องจากเชื่อว่าเป็นหน่อที่ได้มาจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ เมืองพุทธคยา ประเทศอินเดีย มีอายุมากกว่า 2,500 ปี ซึ่งเป็นสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ต้นโพธิ์นี้มีขนาดใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย และถือเป็นต้นไม้สัญลักษณ์สำคัญของจังหวัดปราจีนบุรี ได้นำมาตั้งเป็นคำขวัญ จ.ปราจีนบุรีว่า … “ศรีมหาโพธิ์คู่บ้าน ไผ่ตงคู่เมือง ผลไม้ลือเลื่อง เขตเมืองทวารวดี” ปัจจุบันต้นโพธิ์ต้นนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติโดยกรมศิลปากร  นายธวัธชัย  กล่าว

ด้านพระครูโกศล  ถาวรกิจ อายุ 91 ปี เจ้าอาวาสวัดบางแตน กล่าวว่า  ในคราวเสด็จประพาสครั้งนั้น    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จถึง วัดบางแตน อำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน เรือบิณฑบาต และ ปิ่นโต แด่พระภิกษุในวัด เพื่อใช้ในการบำเพ็ญศาสนกิจและเผยแผ่พระธรรมแก่ชาวบ้านริมแม่น้ำ ถือเป็นของพระราชทานที่เปี่ยมด้วยพระเมตตาและเป็นสิ่งล้ำค่าทางจิตใจของพุทธศาสนิกชน

เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ชาวบ้านแตนจึงร่วมใจกันสร้าง “พลับพลารับเสด็จ” ไว้เป็นอนุสรณ์ ณ บริเวณที่พระองค์เสด็จประทับพัก และต่อมาได้มีการสร้าง “พระบรมราชนานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” ภายในบริเวณพลับพลาดังกล่าว เพื่อเป็นสถานที่ให้ประชาชนได้กราบสักการะและน้อมรำลึกถึงพระองค์ทุกปีในวันสำคัญ

นอกจากวัดบางแตนแล้ว พระองค์ยังเสด็จไปยัง วัดบางกระเบา ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ริมฝั่งแม่น้ำบางปะกง และได้ทรงพระราชทาน “เรือเก๋งจีน” แด่ หลวงพ่อจาด คงฺคสโร  หรือ พระครูสิทธิสารคุณ พระเกจิอาจารย์ผู้มีเมตตาและเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้าน เพื่อใช้ในการเดินทางเผยแผ่พระธรรมและประกอบกิจทางศาสนา เรือพระราชทานลำนี้ได้รับการอนุรักษ์ไว้ในวัดจนถึงปัจจุบัน และนับเป็นเครื่องหมายแห่งความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างพระมหากษัตริย์กับพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ  ด้านพระครูโกศล  กล่าวในที่สุด

หน้าแรก » ภูมิภาค

Top 5 ข่าวภูมิภาค