วันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 กรมชลประทานออกประกาศแจ้งเตือนการปรับเพิ่มอัตราการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยา โดยระบุว่าปริมาณน้ำจากตอนบนเหนือเขื่อนเจ้าพระยาที่สถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดวัดได้ 2,696 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำเป็นไปอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์น้ำฝน–น้ำท่า จึงได้ปรับเพิ่มการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยา จากอัตรา 2,300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เป็น 2,400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ตั้งแต่เวลา 10.00–16.00 น. ของวันนี้ และคงอัตราดังกล่าวต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้พื้นที่ท้ายเขื่อนตั้งแต่ อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท ลงไปจนถึงจังหวัดสิงห์บุรี อ่างทอง และพระนครศรีอยุธยา ระดับน้ำจะเพิ่มขึ้นประมาณ 10–30 เซนติเมตรภายใน 24 ชั่วโมงข้างหน้า

สถานการณ์น้ำขณะนี้ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากฝนตกหนักและฝนสะสมในพื้นที่ตอนบนของประเทศ ทำให้ตลอด 2 วันที่ผ่านมา เขื่อนเจ้าพระยาต้องปรับเพิ่มการระบายน้ำรวม 400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ระดับน้ำขึ้นรวดเร็วสูงรวมกว่า 1 เมตรในช่วงเวลาเพียง 2 วัน

ปัจจุบันที่สถานีวัดน้ำ C.2 อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ มีปริมาณน้ำไหลผ่านอยู่ที่ 2,669 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ลดลงเล็กน้อย ส่วนที่สถานี C.13 เขื่อนเจ้าพระยา อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท มีปริมาณน้ำเหนือเขื่อนอยู่ที่ 17.06 เมตร (รทก.) อัตราการระบายน้ำอยู่ที่ 2,300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อหน่วงน้ำเหนือที่ไหลบ่าลงสู่ภาคกลาง โดยระดับน้ำท้ายเขื่อนคงที่ มีระดับอยู่ที่ 15.47 เมตร (รทก.) ห่างจากตลิ่ง 87 เซนติเมตร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในพื้นที่หมู่ 2 ตำบลโพนางดำออก พบครอบครัวของ น.ส.กนกทิพย์ อายุ 42 ปี ชาวจังหวัดชัยนาท กำลังขนย้ายตู้เย็น เครื่องซักผ้า และสิ่งของจำเป็นกลับเข้าบ้าน แม้บริเวณรอบบ้านยังมีดินโคลนและน้ำขังอยู่บางส่วน น.ส.กนกทิพย์ เปิดเผยว่า ครอบครัว 5 คนต้องอพยพมาอยู่ริมถนนคันคลองมหาราชตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม รวมเวลากว่าหนึ่งเดือน ขณะนี้ขนของกลับเข้าบ้านแล้ว รวมถึงพายายวัย 95 ปีซึ่งสุขภาพแข็งแรงแต่ต้องใช้ไม้เท้า กลับเข้าที่พักอย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตามยังต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพราะน้ำจ่อเข้าท่วมซ้ำรอบที่ 3 แล้ว โดยมีเจ้าหน้าที่เทศบาลคอยประกาศเตือนและให้ความช่วยเหลือตลอดเวลา