วันเสาร์ ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2568 00:27 น.

กทม-สาธารณสุข

“สมศักดิ์” เผยบอร์ด สปสช. มติเอกฉันท์ ดึงเอกชน 4 บริษัท “บิ๊กโฟร์” เจาะการบริหารกองทุนบัตรทอง

วันพุธ ที่ 04 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 20.24 น.

“สมศักดิ์” เผยบอร์ด สปสช. มติเอกฉันท์ ดึงเอกชน 4 บริษัท “บิ๊กโฟร์” เจาะการบริหารกองทุนบัตรทอง  เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน ชี้มีความมั่นคงมาก พบ 13 รพ.ขาดทุน ศุกร์นี้ไปขอนแก่นเหตุขาดทุนมากสุด ฮึ่มขอให้เตรียมตัวให้พร้อม หากทำผิดต้องถูกดำเนินคดี ย้ำไม่กดดันปมแพทย์เคลื่อนไหว  

เมื่อวันที่ 4  มิถุนายน 2568   นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข  ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) แถลงภายหลัง การประชุมบอร์ดสปสช.ว่า ที่ประชุมมีมติหลายเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องงบ 30 บาทจะล้มละลาย ซึ่งได้มีการพูดคุยและเห็นแล้วว่ากองทุนมีความมั่นคงมาก เพื่อทำให้พี่น้องประชาชนเกิดความมั่นใจ ก็จะสร้างระบบตรวจสอบที่เป็นมาตรฐานที่สุด เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งและพัฒนาแบบเดินหน้าต่อไป ทั้งนี้ ผู้ป่วยนอกกระทรวงสาธารณสุขรับในปีงบประมาณที่แล้ว 306 ล้านครั้ง  คนหนึ่งเข้าออกโรงพยาบาลมากกว่าหนึ่งครั้ง สปสช.ใช้บริการกระทรวงสาธารณสุข 240 ล้านครั้ง ดังนั้น สธ. มีรายได้จาก 30 บาทรักษาทุกที่ และได้จากราชการ กองทุนประกันสังคมและอื่นๆ ฉะนั้นตัวเลขที่ได้มาจะผสมผสาน  ดูแล้วโรงพยาบาลที่ขาดทุน มี 13 แห่ง มั่นใจว่าไม่ใช่เรื่องการให้บริการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ อาจเป็นเรื่องอื่น ซึ่งเรากำลังตามหาอยู่และวันศุกร์จะไปโรงพยาบาลขอนแก่นซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่มีตัวเลขขาดทุนมากที่สุด จะไปดูให้เห็น เพื่อปรับปรุงแก้ไข หรือเปลี่ยนผู้บริหารใน 13 แห่งนี้อย่างไรหรือไม่ อย่างไรก็ตาม บางทีการตรวจสอบระบบการคีย์ข้อมูลของทุกส่วนมันเท็จจริงแค่ไหนอย่างไรก็เป็นส่วนหนึ่งเหมือนกัน ถ้าคีย์ข้อมูลไม่ตรง ก็อาจเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น อันนี้เราก็ต้องตรวจสอบเป็นอันดับต้นๆ มติในที่ประชุมก็เป็นเอกฉันท์ที่จะให้มีการตรวจสอบเพราะทุกคนรักใน 30 บาทรักษาทุกที่ อยากให้ยั่งยืน ไม่ให้มีอะไรบิดพลิ้วได้ ส่วนตู้ห่วงใย ไม่ใช่งบประมาณสูงเพราะมียังไม่ถึง 10 ตู้ด้วยซ้ำ ฉะนั้นเรื่องราคาสูงราคาต่ำยังไม่มีมีแค่คุณภาพเต็มเทียบเท่าคลินิกหรือไม่เป็นเรื่องที่เราจะไปคิดไปทำ

นายแพทย์มณเฑียร คณาสวัสดิ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า มีเงินสุทธิหลังหักหนี้สินปัจจุบัน 42,000 ล้านบาท โรงพยาบาลที่มีปัญหาขาดทุน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ก็ให้นโยบาย ให้ตั้งทีมงานลงไปตรวจสอบเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหา ยืนยันว่าสถานการณ์ทางการเงิน สามารถบริหารจัดการได้ไม่มีปัญหาแต่โรงพยาบาลไหนที่มีปัญหาก็ต้องเข้าไปดูแล 

นายแพทย์จเด็จ ธรรมทัชอารี เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารสุขสั่งการให้มีหน่วยงานที่เป็นกลางเข้ามาตรวจสอบเรื่องการจัดสรรงบประมาณ รับงบประมาณ และมอบให้ดูเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นต่างๆเช่นมีการร้องการเบิกไม่ถูกต้อง ใช้บัตรประชาชนไม่ถูกต้อง ก็จะใส่ในทีโออาร์ จะได้ข้อเสนอ ที่ประชุมเห็นตรงกันว่าจะต้องมีรายงาน เบื้องต้นไม่เกิน 3 เดือน เพื่อวางระบบในระยะยาว นอกจากนี้จะมีอีกชุดที่มาดูต้นทุนภาพใหญ่ เพราะว่ากระทรวงสาธารณสุขไม่ได้รับงบฯจากสปสช.อย่างเดียว มีหลายส่วน อาจจะมีการบูรณาการ 3 ระบบ ที่มีรมว.คลังเป็นประธาน จะมาดูเรื่องการเงิน ต้นทุน โดยจะดำเนินการตามมติบอร์ด

ด้านนายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน บอร์ด สปสช.กล่าวว่า ระบบเงินบำรุงที่มีตัวเลขที่สมบูรณ์  คือตัวเลขสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ทำไว้ดีมาก มีข้อมูลรายรับ รายจ่าย หนี้สินครบถ้วน ข้อมูลพบว่ามีโรงพยาบาล 13 แห่งขาดทุนและ 89 แห่ง ขณะนี้มีเงินบำรุงสุทธิเหลืออยู่ 4.6 หมื่นล้านบาท ก่อนเข้าสู่ระบบบัตรทองมีเงินบำรุงเพียง 1,000 ล้านต้นๆ เท่านั้นเอง ปี 61 ขึ้นมา 6,000 ล้านบาท ตอนโควิดขึ้นไป 90,000 ล้านกว่าบาท หลังจากโควิดได้นำเงินบำรุงไปปรับปรุงโรงพยาบาลซื้อเครื่องมือต่างๆ ประมาณ 40,000 กว่าล้าน และยังเหลือเงินอีก 5 หมื่นล้านจริงๆแล้วสถานะถือว่ามั่นคงมาก ไม่น่าวิตกกังวล สถานะทางการเงินไม่ใช่แค่มั่นคงเท่านั้นถือว่ามั่งคั่งด้วย

ทั้งนี้ ก่อนการประชุมบอร์ด สปสช.นายสมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์ ว่า กรณีมีหนังสือให้นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช.จัดจ้างหน่วยงานภายนอกตรวจสอบการบริหารและการใช้จ่ายงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (กองทุนบัตรทอง) ขณะนี้ได้รายชื่อหน่วยงานแล้ว โดยเป็นบริษัทภาคเอกชนที่เชี่ยวชาญในการตรวจสอบระบบและการบัญชีระดับโลก รวม 4 บริษัท ที่เรียกว่ากลุ่ม“บิ๊กโฟร์” ประกอบด้วย 1. บริษัท PricewaterhouseCoopers (PwC)จากประเทศอังกฤษ 2. บริษัท EY (เดิมคือ Ernst & Young) จากประเทศอังกฤษ 3. บริษัท Deloitte Touche Tohmatsu (Deloitte) จากสหรัฐอเมริกา และ 4. บริษัท KPMG จากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ โดยทั้ง 4 บริษัทจะมีบริษัทลูกในประเทศไทยที่คอยดูแล ทั้งนี้ 1 เดือนที่ผ่านมา มีข้อมูลหลากหลายที่มีผลกระทบต่อการบริหารงาน เช่น คลินิกชุมชนบอกว่าค่ารักษา การส่งต่อ เงินไม่พอ มีปัญหา คนฟังไม่มีทางฟังเข้าใจ เพราะเป็นเรื่องการบริหารที่มีกฎหมายกำกับ โดยเฉพาะงบประมาณปลายปิด จะบอกส่ามีคนป่วยมากขึ้น โรคมากขึ้น จึงต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้น แต่การบริหารของ สปสช.มีวิชาการในการประเมิน มีการบริหารตัวเลขอย่างดี แต่มันเกิดมากขึ้น อาจเป็นเรื่องจริงก็ได้ ที่มีการบริหารแล้ว มีการเจ็บป่วยมากขึ้น  หรืออาจจะไม่จริง แล้วใครจะชี้ว่าจริงหรือไม่ เพราะการบริหารของหน่วยงานราชการ ก็บริหารตามหลักคณิตศาสตร์หลักสถิติ ดังนั้นเรื่องการตรวจสอบได้หารือกับเลขาธิการสปสช.ว่าสมควรให้มีหน่วยงานกลาง ถ้าหน่วยงานตรวจสอบเป็น “บิ๊กโฟร์” มาช่วยให้เกิดความกระจ่าง จะได้ไม่ต้องมายืนพูดกันด้วยความเข้าใจครึ่ง ไม่เข้าใจครึ่ง เรื่องนี้เข้าใจไม่ง่ายสำหรับผู้ที่อยู่นอกวงการ คำว่าปลายปิดปลายเปิด ต้องหาผู้รู้เข้ามา และบุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องกับฝ่ายฝ่ายหนึ่งมาดู 
“ผมคิดว่าทุกอย่างจะจบและต้องเตรียมตัวเต็มใจกัน หากว่าคลินิกอบอุ่น สปสช. หรือโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขหรืออื่นๆ มีอะไรผิดพลาดก็ต้องมีการปรับแก้ ปรับเปลี่ยนกัน และให้คุณให้โทษกับทุกส่วน เช่น คลินิกอบอุ่น จะต้องถูกดำเนินคดีบ้าง หรือกระทรวงสาธารณสุขที่ผิด ก็ต้องเอาเงินคืน ต้องไปตามกฎหมาย แต่เราคิดว่าจะทำโดยแนวทางที่เป็นวิทยาศาสตร์ให้มากขึ้น เพื่อไม่ให้ปัญหาเรื้อรัง ผมเชื่อว่านโยบาย 30 บาท เงินไม่พอไม่จริง รัฐบาลเติมให้ตลอด แต่การเติมเงินให้นั้นต้องอยู่ในเงื่อนไขของความถูกต้องไม่ถูกปิดบัง หรือสร้างข้อมูลเท็จเบิกเงิน จะต้องมีการตรวจสอบ ใครทำผิดก็ต้องต้องถูกทำโทษ แล้วทุกอย่างจะเดินไปได้ และจะมีความสุข เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ชอบนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ แต่สิ่งต่างๆที่ทำให้ผู้บริหารปวดหัว เพราะถกเถียงกันโดยส่วนใหญ่ใช้เวลามาพูดคุยจะพูดปัญหาของตัวเองไม่ใช่ภาพรวม ต้องบอกว่ามีปัญหาอะไร ระบบมีปัญหาอะไร ให้วิเคราะห์ง่ายๆ สั้นๆ ก็จะเดินหน้าได้มันเป็นวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์สามารถตรวจสอบได้”นายสมศักดิ์ กล่าว 

เมื่อถามว่า การตรวจสอบงบประมาณบัตรทอง 30 บาท จะไม่ตรวจสอบแค่ สปสช. แต่จะตรวจสอบไปถึงโรงพยาบาลและหน่วยบริการด้วยใช่หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า หากไปถึงตรงไหนก็ตรวจสอบไปถึงตรงนั้น แต่ต้องดูด้วยว่า บริษัทเอกชนทั้ง 4 บริษัทนี้จะเข้าไปตรวจสอบได้แค่ไหน แต่ยืนยันว่าเป็นคนกลาง ไม่มีใครมีเส้นสายเข้าถึงได้ และที่ผ่านมา กลุ่มบิ๊กโฟร์นี้ก็ตรวจสอบองค์กร บริษัทชั้นนำมาแล้วทั่วโลก ต้องการคำตอบให้เร็วที่สุด อยู่ที่บริษัทเอกชนกลุ่มนี้จะทำได้เร็วแค่ไหน แต่อยากได้เร็วที่สุด เพราะการเมืองต้องการความรวดเร็ว เขาปรับ ครม. กันบ่อย ก็ต้องทำให้รวดเร็ว
 
เมื่อถามถึงกรณีทนายยื่นหนังสือร้องจริยธรรมแพทย์กรณีแชทหลุด นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ปกติถ้าเรื่องมาถึงตน ก็ส่งให้แพทยสภาฯ ไปดูว่าร้องเรียนอะไรมา ส่วนเครือข่ายแพทย์กดดันตนเองนั้น เชื่อว่าไม่ใช่การกดดัน เพราะแพทย์เป็นผู้ที่มีสติปัญญาสมองล้ำเลิศ เรียนเก่งกว่าทุกคนอยู่แล้ว เขาไม่ใช้กำลัง คนที่ใช้กำลังไม่ใช่แพทย์ เป็นคนอื่นที่พยายามมากดกดันแพทย์อีกที คณะกรรมการแพทยสภา ไม่มีคนหนุ่มสาว คนที่ออกมา บางทีไม่ได้เกิดจากตัวเอง มีอะไรมากดดันเขาหรือเปล่า ตนคิดแบบนี้ ถึงไม่มีความกังวลอะไร และมองว่าแพทย์เป็นบุคคลที่น่านับถือในสังคม ให้เกียรติเขามาตลอด เพราะเรียนเก่งกว่าตน เมื่อถามว่ามีการกำลังเคลื่อนไหวเพื่อถอดถอนทำให้กดดันหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า “ไม่จริงหรอก ผมไม่เชื่อว่าเขาจะมากดดันผม ตนผมไม่ได้ทำผิดอะไร ผมช่วยระบบมากกว่า การลงโทษแพทย์แล้วใส่มาตรฐานสูงมากกับความผิดไม่มีเลย ต่อไปวันข้างหน้าอยากทำโทษใครแล้วกดดัน  ทำโทษเขามันจะผิดทิศผิดทางกันไปใหญ่ อย่าไปทำเลย ผมทำตามหน้าที่ ถ้าไม่ทำก็กดดันผมอีก”
 

หน้าแรก » กทม-สาธารณสุข

Top 5 ข่าวกทม-สาธารณสุข