เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2568 เวลา 09.30 น. ที่ห้องประชุมชั้น 3 ทำเนียบองคมนตรี กรุงเทพฯ นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี ในฐานะประธานอนุกรรมการติดตามและขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่ภาคเหนือ เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมจัดทำคู่มือการบริหารจัดการโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเชิงพื้นที่ ภายใต้ระบบ “One Plan” เพื่อสนับสนุนการพัฒนาอย่างบูรณาการและยั่งยืนในเขตภาคเหนือ

ในการนี้ นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมประชุมพร้อมด้วย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้รับผิดชอบกำกับดูแลพื้นที่ภาคเหนือ ตลอดจนคณะที่ปรึกษาอนุกรรมการฯ ได้แก่ นายวันชัย สุทิน, นางสาวเอกรัตน์ นาคาคง, และนายเส่ง สิงห์โตทอง รวมทั้งหัวหน้าหน่วยงานราชการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง

กระทรวงมหาดไทยร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) นำระบบ One Plan มาใช้เป็นกลไกหลักในการบูรณาการแผนพัฒนาจากระดับต่าง ๆ โดยยึดตามแนวพระราชดำริ “สืบสาน รักษา และต่อยอด” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในพื้นที่ เน้นการมีส่วนร่วมจากฐานราก (Bottom-up Approach) ทั้งในด้านการวางแผนและดำเนินงาน รวมถึงการใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ สู่เป้าหมายการพัฒนาคุณภาพชีวิต อาชีพ และรายได้ของประชาชนอย่างยั่งยืน

ที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทยได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อชี้แจงและอบรมการใช้ระบบ One Plan สนับสนุนการดำเนินโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่นำร่อง 3 จังหวัด ได้แก่ น่าน พิษณุโลก และเชียงใหม่ รวมทั้งสิ้น 6 รุ่น มีผู้เข้าร่วม 1,400 คน โดยมีแผนขยายผลครอบคลุมทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือในลำดับถัดไป พร้อมถอดบทเรียน วิเคราะห์ปัญหา และจัดทำคู่มือการบริหารจัดการโครงการในระดับพื้นที่ เพื่อเป็นต้นแบบในการพัฒนาท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับการประชุมในครั้งนี้ ยังมีผู้บริหารจากสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยเข้าร่วม อาทิ นายเสรี กัณฑ์โรจน์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน, นายจักรพันธ์ รัตนเสถียร ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาและส่งเสริมการบริหารราชการจังหวัด, ว่าที่ ร.ต.ขุนทอง สายบุตร ผอ.กลุ่มงานประสานการพัฒนาพื้นที่ตามแนวพระราชดำริ, นางปัญจมาศ เด็ดแก้ว ผอ.กลุ่มงานยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคเหนือ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องจากทุกภาคส่วน

การประชุมครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับกลไกบริหารจัดการโครงการพระราชดำริให้มีความชัดเจน บูรณาการ และสามารถขับเคลื่อนผลสัมฤทธิ์ได้อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมวางรากฐานสู่การพัฒนาแบบยั่งยืนในระดับพื้นที่ทั่วประเทศ.