วันศุกร์ ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2568 12:02 น.

กทม-สาธารณสุข

เสียชีวิตครึ่งแสนต่อปี! “ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน” ใกล้ตัวกว่าที่คิดแพทย์ รพ. วิมุต เน้นย้ำทำ CPR ถูกต้อง เพิ่มโอกาสรอดให้หลายชีวิต

วันพฤหัสบดี ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2568, 10.06 น.

เสียชีวิตครึ่งแสนต่อปี! “ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน” ใกล้ตัวกว่าที่คิดแพทย์ รพ. วิมุต เน้นย้ำทำ CPR ถูกต้อง เพิ่มโอกาสรอดให้หลายชีวิต

 

 

หัวใจของคนเราจะเต้น 60-100 ครั้งต่อนาที เพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายตลอดเวลา และหากหัวใจหยุดเต้นกะทันหัน เลือดจะไปเลี้ยงอวัยวะสำคัญไม่ได้ ทำให้หมดสติอย่างรวดเร็ว และภายในไม่ถึง 5 นาที เราอาจเข้าสู่ภาวะสมองขาดเลือดและเสียชีวิตได้ทันทีหากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันเวลา ที่น่ากังวลคือ “ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน” เป็นภัยเงียบที่แทบไม่ส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้า และเกิดขึ้นได้กับทุกคนแม้แต่คนที่แข็งแรงและออกกำลังกายเป็นประจำ โดยกรมควบคุมโรคเผยว่า คนไทยเสียชีวิตจาก “ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน” มากกว่า 54,000 รายต่อปี วันนี้ นพ.ราม บรรพพงษ์ เวชศาสตร์ฉุกเฉิน ศูนย์ฉุกเฉิน รพ.วิมุต จะมาเล่าถึงการรับมือกับภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันและเน้นย้ำถึงสิ่งที่ควรทำหากคนรอบตัวต้องเผชิญกับภัยร้ายนี้

ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (Sudden Cardiac Arrest) สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบหรืออุดตัน ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย ส่งผลให้ระบบไฟฟ้าของหัวใจทำงานผิดปกติและหัวใจหยุดเต้น เมื่อหัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายไม่ได้ สมองจะขาดเลือดและหมดสติทันที

“ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน” โรคร้ายไม่เลือกอายุ กลุ่มไขมันสูง-ความดันสูง-เบาหวาน เสี่ยงทวีคูณ

 

 

ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันเกิดได้กับทุกคน แต่กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงคือคนที่เป็นโรคประจำตัวแต่ยังไม่เคยตรวจพบ เช่น โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ที่เป็นความเสี่ยงให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ซึ่งส่งผลให้ระบบไฟฟ้าหัวใจทำงานผิดปกติและนำไปสู่ภาวะหัวใจหยุดเต้น ดังนั้นการตรวจสุขภาพประจำปีจึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 35–40 ปีขึ้นไป เพื่อประเมินความเสี่ยงและดูแลโรคที่อาจซ่อนอยู่ตั้งแต่เนิ่น ๆ "ภาวะหัวใจหยุดเต้นอาจเกิดขึ้นทันทีโดยไม่มีอาการใด ๆ แต่บางรายอาจมีอาการของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดให้เห็นก่อน เช่น แน่นหน้าอก หายใจลำบาก เหงื่อแตก ตัวเย็น หรือหน้ามืด ซึ่งถ้าพบอาการเหล่านี้ควรไปพบแพทย์ทันที นอกจากนี้ควรเรียนรู้วิธี CPR เอาไว้ เผื่อถ้าคนรอบตัวหัวใจหยุดเต้น จะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตและลดความรุนแรงของผลกระทบที่จะตามมา" นพ.ราม บรรพพงษ์ กล่าว

 

“ประเมินผู้ป่วย-โทรสายด่วน 1669–ทำ CPR” 3 ขั้นตอนช่วยเหลือผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้น

ผู้ป่วยภาวะหัวใจหยุดเต้นมักเสียชีวิตก่อนถึงโรงพยาบาลเพราะได้รับการช่วยเหลือไม่ทัน ดังนั้นเมื่อพบผู้หมดสติ ให้ตบไหล่และเรียกเสียงดัง หากไม่ตอบถือว่าหมดสติ จากนั้นดูการหายใจง่าย ๆ ด้วยการประเมินการกระเพื่อมขึ้นลงของหน้าอก หากไม่ขยับแสดงว่าไม่หายใจและหัวใจหยุดเต้น ไม่ต้องคล้ำชีพจร เมื่อแน่ใจว่าหัวใจหยุดเต้น พยายามอย่าพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลเอง เพราะอาจไม่สามารถทำ CPR ระหว่างทางได้ แต่ให้โทรสายด่วน 1669 ทันที ระหว่างรอรถฉุกเฉิน ให้เริ่มทำการกดหน้าอก โดยให้ผู้ป่วยนอนราบบนพื้นแข็ง วางส้นมือกลางหน้าอก กดลึกประมาณ 5 เซนติเมตร ด้วยความเร็ว 100–120 ครั้งต่อนาที (ราว 2 ครั้งต่อวินาที) แต่ละครั้งต้องปล่อยให้หน้าอกคืนตัวเต็มที่เพื่อให้เลือดไหลกลับเข้าสู่หัวใจ โดยต้องกดต่อเนื่องโดยไม่หยุดพัก ยกเว้นเมื่อต้องเปลี่ยนผู้ช่วยหรือใช้เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED) หากมี ควรใช้ AED ควบคู่กับการ CPR และประเมินซ้ำทุก 2 นาทีว่าผู้ป่วยเริ่มหายใจหรือรู้สึกตัวหรือไม่ นพ.ราม บรรพพงษ์ เล่าเสริมว่า “หลายคนกังวลว่าทำ CPR แล้วจะทำให้กระดูกของผู้ป่วยหัก ซึ่งจริง ๆ ก็เกิดขึ้นได้หากทำผิดวิธี แต่กระดูกหักนั้นรักษาได้ ต่างจากการไม่ทำ CPR ที่อาจทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสเสียชีวิตเร็วขึ้น เพราะโอกาสรอดจากภาวะหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลมีไม่ถึง 10% เท่านั้น แต่ถ้าได้รับการ CPR อย่างทันท่วงทีจะมีโอกาสรอดชีวิตเพิ่มขึ้นมาก และถ้าตัดสินใจช่วยช้า แม้ผู้ป่วยจะรอด ก็เสี่ยงต่อการสูญเสียการทำงานของอวัยวะสำคัญ โดยเฉพาะสมองและไตที่ไวต่อการขาดเลือด ดังนั้นจึงอยากให้เน้นช่วยชีวิตอย่างรวดเร็วก่อนนำส่งโรงพยาบาล”

เทคโนโลยีรักษาภาวะหัวใจหยุดเต้นในโรงพยาบาล

เมื่อผู้ป่วยภาวะหัวใจหยุดเต้นมาถึงโรงพยาบาลจะได้รับการรักษาในห้องฉุกเฉินและหอผู้ป่วยวิกฤต (ICU) โดยมีแพทย์จากหลายสาขาร่วมกันรักษาเพื่อเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัวของผู้ป่วยให้มากที่สุด ในโรงพยาบาลหรือรถพยาบาลฉุกเฉินจะมีอุปกรณ์ที่ทันสมัยเข้ามาช่วย เช่น เครื่องปั๊มหัวใจอัตโนมัติ (Robotic CPR device) ที่กดหน้าอกได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ อีกอย่างคือ ECMO (Extracorporeal Membrane Oxygenation) เครื่องช่วยพยุงการทำงานของหัวใจและปอดเทียม ซึ่งใช้ในผู้ป่วยที่ยังมีโอกาสรอดสูงและสามารถรักษาให้หายได้ แต่อาจมีข้อจำกัดในการใช้กับผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยโรคเรื้อรังระยะสุดท้าย

“แม้ภาวะหัวใจหยุดเต้นจะเกิดขึ้นกะทันหันและมักไม่มีสัญญาณเตือน แต่สิ่งที่เราทำได้คือรู้ทันความเสี่ยง และศึกษาวิธี CPR ที่ถูกต้องเอาไว้ เพราะเมื่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เราอาจเป็นคนที่ช่วยชีวิตใครสักคนได้ รวมถึงต้องตรวจเช็กสุขภาพหัวใจอย่างสม่ำเสมอ ถ้าเจอปัญหาเร็วจะได้ดูแลก่อนเป็นอันตราย โดยเฉพาะคนที่มีโรคประจำตัว เบาหวาน ความดัน หรือไขมันในเลือดสูง ก็ยิ่งต้องดูแลตัวเองให้ดีและทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด อย่าลืมเลือกกินให้ดี ลดของหวาน มัน เค็ม และออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อให้หัวใจของเราทำงานได้ดี ลดความเสี่ยงในระยะยาว” นพ.ราม บรรพพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย

หน้าแรก » กทม-สาธารณสุข