วันอังคาร ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2568 05:32 น.

การศึกษา

สันติวิธีเหมือนกันแต่ทำไมไม่เหมือนกัน? พระนักวิชาการชี้แนวทางผู้นำไทย-กัมพูชา ต่างกันเพราะความไว้ใจ 

วันจันทร์ ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 17.47 น.

พระนักสันติศึกษาเตือนหากเลือกทางเผชิญหน้า อาจได้ดินแดนแต่เสียมิตรภาพ เสี่ยงส่งต่อความเกลียดชังรุ่นสู่รุ่น แนะใช้ขันติธรรมและหลักพุทธพจน์ประคองความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน 

เมื่อวันที่ 16  มิถุนายน 2568  ศาสตราจารย์ ดร. พระเมธีวัชรบัณฑิต (หรรษา ธมฺมหาโส)  เจ้าอาวาสวัดใหม่ (ยายแป้น) กรุงเทพมหานคร  ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษาระดับปริญญาเอก มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Hansa Dhammahaso ความว่า ไทยกับกัมพูชา: เจรจาสันติวิธีและศาลโลก สันติวิธีเหมือนกันแต่ทำไมไม่เหมือนกัน?
 
ทั้งนายกรัฐมนตรีของไทยและกัมพูชา ต่างก็ย้ำเน้นถึงความมุ่งมั่นในการใช้สันติวิธีจัดการข้อพิพาทในครั้งนี้ สันติวิธีที่ผู้นำทั้งสองท่านใช้อ้างอิงมาจากแหล่งใด? เพราะเหตุใด? สันติวิธีที่ผู้นำไทยจึงมุ่งไปที่การพูดคุยแบบทวิภาคี ในขณะที่สันติวิธีของผู้นำกัมพูชากลับมุ่งไปที่ศาลโลก สรุปแล้ว ผู้นำท่านใดเข้าใจถูก หรือเข้าใจผิดเกี่ยวกับสันติวิธีหรือไม่??

ในฐานะที่ไทยและกัมพูชาซึ่งกำลังมีข้อพิพาทอยู่ในขณะนี้ เป็นสมาชิกของสหประชาชาติ จึงไม่มีแหล่งอ้างอิงใดที่ทั้งสองฝ่ายจะนำสันติวิธีมาอ้างอิงได้ หากไม่ย้อนกลับไปพิจารณาสันติวิธีตามกฏบัตรของสหประชาชาติ

องค์การสหประชาชาติได้ออกแบบการระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธี เอาไว้ในหมวดที่ 6 ซึ่งหมวดนี้มีทั้งสิ้น 6 มาตรา คือมาตรา 33-38 โดยมาตรา 33 ได้อธิบายแง่มุมสันติวิธีเอาไว้ค่อนข้างชัด กล่าวคือ ในกรณีพิพาทใดๆ ซึ่งหากดำเนินอยู่ต่อไป อาจจะเป็นอันตรายต่อการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพ และความมั่นคงระหว่างประเทศ ก่อนอื่นจักต้องแสวงหาการแก้ไขโดยการเจรจา การไต่สวน การไกล่เกลี่ย การประนีประนอม อนุญาโตตุลาการ การระงับโดยทางศาล หรือสันติวิธีอื่นใดที่คู่กรณีจะพึงเลือก

จากมาตรา 33 ได้ช่วยตอบคำถามสันติวิธีที่ผู้นำประเทศทั้งสองเอาไว้อย่างชัดเจน กล่าวคือ สันติวิธีในมุมมองของผู้นำไทยมุ่งเน้นการเจรจาแบบทวิภาคี ผ่าน JBC หรือ Joint Boundary Commission หรือการพูดคุยระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือระดับผู้นำเหล่าทัพทั้งสอง ในขณะที่ผู้นำกัมพูชามุ่งเน้นสันติวิธีโดยใช้กระบวนการทางศาลเข้ามาช่วยตัดสินเพื่อระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับดินแดนของสองประเทศ

กระบวนการจัดการข้อพิพาทของสหประชาชาติ ในสมัยปัจจุบันเรามักจะเรียกว่า ADR: Alternative Dispute Resolutions หรือกระบวนการจัดการข้อพิพาททางเลือก โดยจะเรื่มจาก (1) การเจรจากันเอง (Negotiation) (2) การไกล่เกลี่ย (Mediation) (3) อนุญาโตตุลาการ (Arbitration) และ (4) กระบวนการทางศาล (Court) 

ทั้งนี้ การใช้วิธีเจรจาจะเกิดได้ เมื่อคู่กรณียังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และไว้เนื้อเชื่อใจกันและกัน ถึงกระนั้น หากการเจรจาไปต่อไม่ได้ คู่กรณีสามารถแสวงหาคนกลางมาช่วยทำหน้าที่ในการไกล่เกลี่ย เพื่อให้คู่กรณีได้ช่วยกันนำเสนอทางออกทึ่เป็นไปได้ และยอมรับได้

การเจรจากันเองและการไกล่เกลี่ยเป็นวิถีทางที่จะรักษาและฟื้นฟูความสัมพันธ์ของคู่กรณีให้สามารถอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เพราะไม่ใครแพ้ ไม่มีใครชนะ 100% ไม่มีเสียหรือได้ในสิ่งที่ปรารถนาทั้งหมด เพราะเป็นการเจรจาพูดคุยที่มุ่งรักษาความสัมพันธ์ และประโยชน์ทั้งสองฝ่ายเป็นตัวตั้ง จุดใดเจรจาได้ก็เดินหน้าเจรจาต่อไป จุดใดที่เจรจาไม่ได้เพราะต่างฝ่ายก็มีจุดยืนที่ต่างกันอย่างชิ้นเชิงก็ชะลอไว้ก่อน จนกว่าจะมีทางเลือกอื่นที่เหมาะสมจึงมาเจรจากันอีกรอบ จุดเด่นในสองวิธีการนี้คือ อำนาจการตัดสินใจอยู่ที่ทั้งสองฝ่าย

วิธีการจัดการข้อพิพาททั้งสองประการข้างต้น จึงต่างจากสองวิธีการหลัง คือ อนุญาโตตุลาการ และกระบวนการทางศาล เพราะคู่กรณีหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้การเจรจาไม่ได้แล้ว ด้วยเหตุที่ขาดความไว้วางใจ ความสัมพันธ์แตกสลาย ไม่เชื่อมั่นในคู่เจรจาอีกฝ่าย ในขณะเดียวกัน บางฝ่ายหรือทั้งสองฝ่ายมองว่าการไกล่เกลี่ยมิใช่ทางออกที่จะนำมาใช้ 

ที่สำคัญก็คือ หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกิดความมั่นใจว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า และมีความมั่นอกมั่นใจและเป็นไปได้สูงว่าตัวเองจะประสบชัยชนะ ฝ่ายนั้นจะพยายามข้ามการเจรจา การไกล่เกลี่ยไปสู่กระบวนการทางศาลโดยไว เพื่อเร่งปิดเกมของข้อพิพาทที่ตัวเองคิดว่าได้เปรียบและมีทางชนะ

อย่างไรก็ตาม คู่พิพาท หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็มีวิธีการให้เล่นได้อยู่แล้ว เช่น ถ้าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยากให้เจรจา แต่อีกฝ่ายไม่ยินยอม โดยมุ่งใช้กระบวนการทางศาลอย่างเดียว แต่มาตรา 33 ก็ยังเปิดพื้นที่ให้นำการไกล่เกลี่ยและการประนีประนอมมาใช้ได้ ฝ่ายที่ประสงค์ ก็สามารถใช้เวทีคณะมนตรีความมั่นคงเข้ามาช่วยทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยก็ได้ หรืออาจจะขอให้ประเทศมหาอำนาจที่ทั้งสองให้ความเกรงใจมาช่วยเปิดเวทีพูดคุยก็ได้ รวมไปถึงเวทีประชาคมอาเซียนที่บางฝ่ายมองข้ามไป เพื่อจะได้ช่วยกันสมานและรักษาความสัมพันธ์ที่มีมาอย่างยาวนาน
 
หาไม่แล้ว หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมุ่งใช้กระบวนการทางศาลอย่างเดียว คำตอบที่ได้ก็คือการเผชิญหน้าระหว่างกัน การตัดสินจะต้องมีฝ่ายหนึ่งแพ้ ฝ่ายหนึ่งชนะ  เมื่อมีฝ่ายได้และฝ่ายเสีย สิ่งทึ่จะเสียตามมาอย่างหลักเลี่ยงมิได้คือ เสียความสัมพันธ์ เสียความรู้สึก เสียเงินจ้างให้ทำคดี เสียเสีนเวลา และเสียประโยชน์ในปัจจุบันและอนาคตที่ทั้งสองฝ่ายควรจะได้รับด้วยกัน
 
ในที่สุดอาจมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ดินแดนไป แต่ดินแดนที่ได้อาจต้องแลกมาความสัมพันธ์ที่ขาดสะบั้น มิตรไมตรีเสื่อมทรามลง ความเป็นญาติธรรมล่มสลาย เศรษกิจพังพินาศและปากท้องของคนชายขอบกลับเต็มไปด้วยหิวโหย บ้านติดกัน แต่ไม่มองหน้ากัน อีกทั้งส่งต่อความเกลียดชังจากรุ่นสู่รุ่น และเฝ้ารอวันที่จะเอาคืนในประเด็นอื่นๆ  อันเป็นการก่อเวรอย่างไร้ที่สิ้นสุด
 
สรุปแล้ว การเจรจากันเองแบบทวิภาคี  หรือการใช้กระบวนการทางศาล ก็จัดเป็นการจัดการข้อพิพาทโดยสันติวิธีตามมาตรา 33 แห่งกฏบัตรสหประชาชาติ และการที่ผู้นำทั้งสองชาติ และคณะทำงานตัดสินใจดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับบริบท วิธีคิด และการตัดสินใจโดยที่แต่ละฝ่ายก็ต้องเคารพในการตัดสินใจของกันและกัน ถัดจากนี้ คือการออกแบบและจัดวางยุทธศาสตร์ที่แต่ละฝ่ายจะต้องดำเนินการอย่างถูกต้องเหมาะสม และทันต่อสถานการณ์
 
ถึงกระนั้น ในฐานะที่ผู้นำไทยและกัมพูชาเป็นชาวพุทธ พลเมืองส่วนใหญ่ก็เป็นพุทธ ยุทธศาสตร์ที่จะดำเนินการก็ต้อง พึ่งพาอาศัยกันตามหลักปฏิจจสมุปบาท โดยมุ่งประโยชน์สุขร่วมกันของสองประเทศ ที่มีพื้นที่ติดกัน และไม่สามารถแยกย้าย หรือยกพื้นไปอยู่ที่อื่นได้ พลเมืองทั้งสองฝ่ายต้อง  อาศัยขันติธรรม ใช้วาจาสุภาษิตค่อยพูดค่อยจา ถ้อยทีถ้อยอาศัย ค่อยพูดค่อยจา ไม่พูดจาดูถูก ถากถาง ก่นด่า เหยียดหยาม ปลุกปั่นด้วยความรุนแรงผ่านช่องทางต่างๆ  เช่น สื่อออนไลน์ ทีวี และหนังสือพิมพ์ 

ในขณะเดียวกัน ก็มอบความไว้ใจให้ทีมเจรจาไปพูดคุยกัน หรือทำงานร่วมกัน ในประเด็นที่สามารถพูดคุยและปรึกษาหารือกันได้ สถานการณ์น้ำผึ้งหยดเดียวก็จะไม่ลามไปสู่ประเด็นอื่นๆ ในที่สุด ทั้งไทยและกัมพูชาก็จะสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขได้ในฐานะเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายในสังสารวัฏที่ยาวไกลนี้ฯ
 
ธรรมหรรษา
16 มิถุนายน 2568
ปูดาเปสด์ ฮังการี
 

หน้าแรก » การศึกษา