ที่ปรึกษาฯ กมธ.การศาสนา โต้ "พงศ์พร"  ยันการปรับระดับซี 11 ผอ.พศ. ไม่ลดตำแหน่งเดิม แต่ยกระดับศักยภาพองค์กร พร้อมเปิดทางคนเก่งจากภายนอกขับเคลื่อนนโยบายศาสนาได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 ที่อาคารรัฐสภา ดร.ณพลเดช มณีลังกา ที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร และที่ปรึกษาผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พันตำรวจโท พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แสดงความเห็นผ่านสื่อมวลชน โดยตั้งข้อสงสัยถึงความเหมาะสมของการที่สำนักงาน ก.พ. ปรับระดับตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักพุทธฯ เป็นระดับปลัดกระทรวง (ซี 11) และอ้างว่าการปรับตำแหน่งดังกล่าวอาจกระทบงบประมาณและทำให้ “ตำแหน่งระดับล่างจำนวนมากต้องหายไป” เพื่อรองรับค่าตอบแทนผู้บริหารระดับสูง อาจไม่ตรงกับข้อเท็จจริง

ดร.ณพลเดช กล่าวว่า ในความเป็นจริง การปรับระดับตำแหน่งผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะสามารถนำคนที่มีคุณภาพเข้าสู่การปฏิบัติงาน มิได้ทำให้ตำแหน่งเดิมในระดับอื่น ๆ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่เป็นการปรับโครงสร้างตามหลักเกณฑ์ใหม่ของสำนักงาน ก.พ. พ.ศ. 2567 โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนผ่าน ระบบใหม่ยังเปิดโอกาสให้รองผู้อำนวยการที่เดิมอยู่ระดับ 9 สามารถก้าวสู่ระดับ 10 ได้มากขึ้น และเพิ่มตำแหน่งที่ปรึกษาในระดับซี 10 หลายตำแหน่ง เพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าในสายงานราชการ ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน ก.พ. และมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับศักยภาพองค์กรให้รองรับภารกิจที่ซับซ้อนมากขึ้น ทั้งการกำกับดูแลวัดทั่วประเทศ การบริหารงบประมาณ การใช้เทคโนโลยีเพื่อความโปร่งใส และการประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ตามมติสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ได้เห็นชอบให้ปรับตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นหัวหน้าส่วนราชการเทียบเท่าปลัดกระทรวง (ซี 11) และรองผู้อำนวยการเป็นระดับรองปลัดกระทรวง (ซี 10) ตามหลักเกณฑ์ใหม่ โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมศักยภาพของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติในการขับเคลื่อนนโยบายระดับประเทศด้านศาสนา และสะท้อนบทบาทองค์กรในฐานะหน่วยงานกลางที่ดูแลกิจการพระพุทธศาสนาโดยตรง ซึ่งมีผลกระทบต่อวัด พระสงฆ์ และประชาชนทั่วประเทศ ทั้งนี้ บุคลากรภายในที่ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการในปัจจุบันยังไม่ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติสำหรับการเลื่อนเป็นผู้อำนวยการระดับซี 11 ตามระเบียบราชการ จึงจำเป็นต้องสรรหาผู้นำที่มีศักยภาพสูงจากภายนอก เพื่อให้การปฏิรูปและการยกระดับภารกิจทางศาสนาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อาจมีมิติการแก้ปัญหาที่แตกต่างไปจากเดิม เช่น ในการแก้ปัญหาที่ยาก เช่น ข่าวฉาว ประเด็นสีกา ก. หรือข่าวพระดื่มสุรา ฉันหมูกระทะตอนกลางคืน เป็นต้น

ในมิติกฎหมาย ดร.ณพลเดช ระบุว่า ข้อมูลที่กล่าวว่าการปรับโครงสร้างจะทำให้ “ตำแหน่งหายไปจำนวนมาก” นั้น อาจไม่ตรงกับข้อเท็จจริง และอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในวงราชการและสังคม อีกทั้งอาจเข้าข่ายการนำข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560

โดยสรุป ดร.ณพลเดช เห็นว่าการปรับโครงสร้างสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติในครั้งนี้เป็นแนวทางที่เหมาะสมและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การบริหารบุคคลภาครัฐในระยะยาว เพราะช่วยเสริมศักยภาพองค์กรให้สอดรับกับภารกิจที่หลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น เปิดโอกาสให้บุคลากรภายในเติบโตในสายงาน พร้อมทั้งเปิดรับผู้นำที่มีศักยภาพจากภายนอก เพื่อขับเคลื่อนนโยบายศาสนาอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส อันจะเป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาและสังคมโดยรวมในระยะยาว