วันศุกร์ ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 12.53 น.
จุฬาฯ จับมือ สวทช. และ สพธอ. เตรียมจัดตั้งศูนย์ความเชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ (AITH)

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือและแถลงข่าวการเตรียมการจัดตั้งศูนย์ความเชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ (AITH: Al Thailand Hub) เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568 ณ ห้อง MR211CD ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์โดยมี น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) กล่าวแสดงความยินดี จากนั้นมีการปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "Building a Sustainable Al Innovation Ecosystem: การสร้างระบบนิเวศนวัตกรรม AI อย่างยั่งยืน” โดย ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช.
ในโอกาสนี้ ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือจัดตั้งศูนย์ความเชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI TH: AI Thailand Hub) โดยมีผู้บริหารจากทั้งสามหน่วยงานร่วมเป็นสักขีพยาน ต่อด้วยการเสวนาในหัวข้อ “From vision to value with AITH: Al Thailand Hub” โดย รศ.ดร.มาโนช โลหเตปานนท์ รองอธิการบดีจุฬาฯ ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ที่ปรึกษาอาวุโส สพธอ. และ ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช.
การจัดตั้งศูนย์ความเชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ (AITH: Al Thailand Hub) เกิดขึ้นจากความร่วมมือของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดย สํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) เพื่อเป็นกลไกสําคัญขับเคลื่อนการจัดตั้งศูนย์ความเชี่ยวชาญ (AI Center of Excellence – COE) ภายใต้แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (พ.ศ.2565-2570) ใน 2 ด้าน ได้แก่ ศูนย์นวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ด้านการศึกษา และศูนย์สอบเทียบสมรรถนะและทดสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์ โดยจะให้บริการครอบคลุมการพัฒนาบุคลากร การสร้างมาตรฐานและรับรองผลิตภัณฑ์ การให้คําปรึกษาเชิงกลยุทธ์ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI
น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า กระทรวง อว. มีบทบาทสําคัญในการร่วมขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติฯ โดยมุ่งพัฒนาระบบนิเวศ AI ของประเทศผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสนับสนุนในการเสริมศักยภาพบุคลากร การวิจัยและสร้างนวัตกรรม การกํากับดูแลตามมาตรฐานสากล ร่วมถึงการผลักดันให้เกิดการประยุกต์ใช้ AI ในทุกภาคส่วน สำหรับศูนย์ AITH จะเป็นกลไกกลางในการบูรณาการความร่วมมือให้การพัฒนาและการกํากับดูแล AI เป็นไปในทิศทางเดียวกัน รองรับการประยุกต์ใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัย ขอชื่นชมในความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์ของผู้บริหารทั้งสามหน่วยงานหลักที่ได้วางรากฐานสําคัญในงานครั้งนี้ เพื่อมุ่งยกระดับขีดความสามารถของประเทศทางด้านเทคโนโลยี AI ซึ่งจะนําไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ กล่าวว่า บทบาทของมหาวิทยาลัยในปัจจุบันคือการสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพ ตามหลักคิด “นวัตกรต้องมาก่อนนวัตกรรม” จุฬาฯ ถือเป็นต้นแบบของสถาบันอุดมศึกษาของไทยในฐานะ AI University ที่บุกเบิกพัฒนาบุคลากรด้าน AI และพัฒนาองค์ความรู้ด้านการประยุกต์ใช้ AI เพื่อการศึกษา ผ่านโครงการต่าง ๆ อาทิ ChulaGENIE ซึ่งเป็น Generative AI ของจุฬาฯ สิ่งนี้ยืนยันว่าการศึกษาไทยมีคุณภาพที่สามารถทัดเทียมกับนานาชาติได้
“AI Thailand Hub เกิดจากความร่วมมือของหลายภาคส่วน เพื่อผนึกกำลังในการพัฒนาศักยภาพ AI ของไทย ซึ่งจะเป็นที่พึ่งของประชาชนคนไทย ทั้งในด้านการศึกษาและด้านอื่น ๆ ความร่วมมือจัดตั้งศูนย์ AITH จึงเป็นกลไกสําคัญที่จะทําให้จุฬาฯ สามารถนําประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของบุคลากรไปถ่ายทอดและต่อยอดสู่การพัฒนากําลังคนของประเทศในวงกว้าง เพื่อสร้างนวัตกร AI ที่มีคุณภาพ พร้อมตอบสนองต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยต่อไป” ศ.ดร.วิเลิศ กล่าว
ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ซึ่งปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "Building a Sustainable Al Innovation Ecosystem: การสร้างระบบนิเวศนวัตกรรม AI อย่างยั่งยืน” กล่าวว่า ปัจจุบันมีการใช้งาน AI ในด้านต่าง ๆ อย่างมากมาย ที่เห็นชัดเจนคือด้านการแพทย์ ที่ AI เข้ามามีส่วนช่วยในการวินิจฉัยโรค ด้านการศึกษา AI เข้ามาช่วยด้านการเรียนการสอน ส่วนการวิเคราะห์และวัดผลด้านอุตสาหกรรมการผลิต มีการใช้งาน AI ในระบบตรวจสอบต่าง ๆ ดังนั้นประเทศไทยต้องเตรียมความพร้อมด้านกำลังคน โครงสร้างพื้นฐาน กฎกติกาการใช้งาน AI และด้านการพัฒนาธุรกิจ ซึ่งต้องเร่งพัฒนาโครงสร้างระบบ AI ของประเทศ เพื่อส่งเสริมการเข้าถึง สร้างความเข้าใจและสนับสนุนการนํา AI ไปใช้เพื่อสร้างคุณค่าให้กับภาคส่วนต่าง ๆ บนพื้นฐานของจริยธรรมและความปลอดภัย
ศ.ดร.ชูกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า คณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติฯ มีมติเห็นชอบกรอบการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ (National AI Program) โดยมีหัวใจสําคัญคือ การพัฒนาระบบนิเวศ AI ผ่าน 2 แนวทางหลัก ได้แก่ การสร้างความพร้อม AI (AI Readiness) ในด้านกําลังคน โครงสร้างพื้นฐาน และการกํากับดูแล และการผลักดันการนํา AI ไปใช้ในทุกภาคส่วน (AI Adoption) โดยมีกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนผ่านการจัดตั้งภาคีเครือข่าย (Consortium) และศูนย์ความเชี่ยวชาญ (AI Center of Excellence –COE) อย่างน้อย 9 แห่งที่ตอบโจทย์ในอุตสาหกรรมสําคัญของประเทศ ซึ่งการเตรียมการจัดตั้งศูนย์ AITH ในครั้งนี้ นับเป็นการวางรากฐานนําร่องศูนย์ COE ใน 2 ด้านสําคัญ ได้แก่ การสร้างกําลังคน ผ่านศูนย์นวัตกรรม AI ด้านการศึกษา และการสร้างมาตรฐานกลางสำหรับการประเมิน AI ผ่านศูนย์สอบเทียบสมรรถนะ และทดสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์ AI ซึ่งจะเป็นต้นแบบให้กับการจัดตั้งศูนย์ COE ในสาขาอื่น ๆ ต่อไป
“ศูนย์ AITH จะเป็นช่องทางสําคัญให้ภาคอุตสาหกรรมและนักวิจัยสามารถเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐาน AI ของประเทศ ที่ สวทช. ดูแลอยู่ ทั้งระบบลันตาซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (LANTA HPC) และแพลตฟอร์ม AI for Thai ให้บริการ API AI สัญชาติไทย ได้สะดวกยิ่งขึ้น ถือเป็นการนําสินทรัพย์ทางเทคโนโลยีของประเทศมาต่อยอดและขยายผลผ่านความร่วมมือเพื่อสร้างระบบนิเวศ AI ที่เข้มแข็งและแข่งขันได้จริง” ศ.ดร.ชูกิจ กล่าว
ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการ สพธอ. กล่าวว่า ในยุคแรกของการพัฒนา AI มีการใช้ข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต ซึ่งข้อมูลส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ ส่วนข้อมูลในภาษาไทยจะมีสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อย ปัจจุบันมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ไทยต้องพัฒนาข้อมูล เพื่อให้เกิดฐานข้อมูลที่ถูกต้อง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ต้องมีการแลกเปลี่ยนกันอย่างมีธรรมาภิบาล โดยเฉพาะข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งต้องมีการแยกแยะ คัดกรอง เพื่อให้ข้อมูลเหล่านี้ไม่เชื่อมโยงไปที่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง จน AI เกิดอคติได้ ดังนั้นในกระบวนการสร้าง และการพัฒนา AI ของประเทศไทยจะต้องพัฒนาให้เกิดความมั่นใจภายใต้กรอบธรรมาภิบาล AI ที่ชัดเจนและได้มาตรฐาน การจัดตั้งศูนย์ AI Thailand Hub ในครั้งนี้จะเป็นกลไกที่เป็นกลางและโปร่งใส สําหรับทดสอบ ยืนยัน วิเคราะห์ และประเมินระบบ AI ในเชิงปฏิบัติ เพื่อรองรับกรอบนโยบายในระดับประเทศ ศูนย์นี้จึงเป็นหน่วยงานกลางเพื่อเชื่อมระหว่างผู้กําหนดนโยบายและ ภาคปฏิบัติการ เพื่อยกระดับความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ใช้งานทั่วไป และเป็นพลังขับเคลื่อนนวัตกรรม AI ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและยั่งยืน
ส่งข่าวได้ที่ email : saowaporn12345@gmail.com และ bat_mamsao@yahoo.com