วันเสาร์ ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2568 02:34 น.

การศึกษา

จุฬาฯ จับมือ สวทช. และ สพธอ. เตรียมจัดตั้งศูนย์ความเชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ (AITH)

วันศุกร์ ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 12.53 น.

จุฬาฯ จับมือ สวทช. และ สพธอ. เตรียมจัดตั้งศูนย์ความเชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ (AITH)

 

 

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือและแถลงข่าวการเตรียมการจัดตั้งศูนย์ความเชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ (AITH: Al Thailand Hub) เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568 ณ ห้อง MR211CD ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์โดยมี น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) กล่าวแสดงความยินดี จากนั้นมีการปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "Building a Sustainable Al Innovation Ecosystem: การสร้างระบบนิเวศนวัตกรรม AI อย่างยั่งยืน” โดย ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช.

              

ในโอกาสนี้ ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือจัดตั้งศูนย์ความเชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI TH: AI Thailand Hub) โดยมีผู้บริหารจากทั้งสามหน่วยงานร่วมเป็นสักขีพยาน ต่อด้วยการเสวนาในหัวข้อ “From vision to value with AITH: Al Thailand Hub” โดย รศ.ดร.มาโนช โลหเตปานนท์ รองอธิการบดีจุฬาฯ ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ที่ปรึกษาอาวุโส สพธอ. และ ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช.

         

การจัดตั้งศูนย์ความเชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ (AITH: Al Thailand Hub) เกิดขึ้นจากความร่วมมือของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดย สํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) เพื่อเป็นกลไกสําคัญขับเคลื่อนการจัดตั้งศูนย์ความเชี่ยวชาญ (AI Center of Excellence – COE) ภายใต้แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (พ.ศ.2565-2570) ใน 2 ด้าน ได้แก่ ศูนย์นวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ด้านการศึกษา และศูนย์สอบเทียบสมรรถนะและทดสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์ โดยจะให้บริการครอบคลุมการพัฒนาบุคลากร การสร้างมาตรฐานและรับรองผลิตภัณฑ์ การให้คําปรึกษาเชิงกลยุทธ์ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI

              

น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า กระทรวง อว. มีบทบาทสําคัญในการร่วมขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติฯ โดยมุ่งพัฒนาระบบนิเวศ AI ของประเทศผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสนับสนุนในการเสริมศักยภาพบุคลากร การวิจัยและสร้างนวัตกรรม การกํากับดูแลตามมาตรฐานสากล ร่วมถึงการผลักดันให้เกิดการประยุกต์ใช้ AI ในทุกภาคส่วน สำหรับศูนย์ AITH จะเป็นกลไกกลางในการบูรณาการความร่วมมือให้การพัฒนาและการกํากับดูแล AI เป็นไปในทิศทางเดียวกัน รองรับการประยุกต์ใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัย ขอชื่นชมในความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์ของผู้บริหารทั้งสามหน่วยงานหลักที่ได้วางรากฐานสําคัญในงานครั้งนี้ เพื่อมุ่งยกระดับขีดความสามารถของประเทศทางด้านเทคโนโลยี AI ซึ่งจะนําไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดียิ่งขึ้นต่อไป

              

ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ กล่าวว่า บทบาทของมหาวิทยาลัยในปัจจุบันคือการสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพ ตามหลักคิด “นวัตกรต้องมาก่อนนวัตกรรม” จุฬาฯ ถือเป็นต้นแบบของสถาบันอุดมศึกษาของไทยในฐานะ AI University ที่บุกเบิกพัฒนาบุคลากรด้าน AI และพัฒนาองค์ความรู้ด้านการประยุกต์ใช้ AI เพื่อการศึกษา ผ่านโครงการต่าง ๆ อาทิ ChulaGENIE ซึ่งเป็น Generative AI ของจุฬาฯ สิ่งนี้ยืนยันว่าการศึกษาไทยมีคุณภาพที่สามารถทัดเทียมกับนานาชาติได้

              

“AI Thailand Hub เกิดจากความร่วมมือของหลายภาคส่วน เพื่อผนึกกำลังในการพัฒนาศักยภาพ AI ของไทย ซึ่งจะเป็นที่พึ่งของประชาชนคนไทย ทั้งในด้านการศึกษาและด้านอื่น ๆ ความร่วมมือจัดตั้งศูนย์ AITH จึงเป็นกลไกสําคัญที่จะทําให้จุฬาฯ สามารถนําประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของบุคลากรไปถ่ายทอดและต่อยอดสู่การพัฒนากําลังคนของประเทศในวงกว้าง เพื่อสร้างนวัตกร AI ที่มีคุณภาพ พร้อมตอบสนองต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยต่อไป” ศ.ดร.วิเลิศ กล่าว

             

 ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ซึ่งปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "Building a Sustainable Al Innovation Ecosystem: การสร้างระบบนิเวศนวัตกรรม AI อย่างยั่งยืน” กล่าวว่า ปัจจุบันมีการใช้งาน AI ในด้านต่าง ๆ อย่างมากมาย ที่เห็นชัดเจนคือด้านการแพทย์ ที่ AI เข้ามามีส่วนช่วยในการวินิจฉัยโรค ด้านการศึกษา AI เข้ามาช่วยด้านการเรียนการสอน ส่วนการวิเคราะห์และวัดผลด้านอุตสาหกรรมการผลิต มีการใช้งาน AI ในระบบตรวจสอบต่าง ๆ ดังนั้นประเทศไทยต้องเตรียมความพร้อมด้านกำลังคน โครงสร้างพื้นฐาน กฎกติกาการใช้งาน AI และด้านการพัฒนาธุรกิจ ซึ่งต้องเร่งพัฒนาโครงสร้างระบบ AI ของประเทศ เพื่อส่งเสริมการเข้าถึง สร้างความเข้าใจและสนับสนุนการนํา AI ไปใช้เพื่อสร้างคุณค่าให้กับภาคส่วนต่าง ๆ บนพื้นฐานของจริยธรรมและความปลอดภัย

              

ศ.ดร.ชูกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า คณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติฯ มีมติเห็นชอบกรอบการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ (National AI Program) โดยมีหัวใจสําคัญคือ การพัฒนาระบบนิเวศ AI ผ่าน 2 แนวทางหลัก ได้แก่ การสร้างความพร้อม AI (AI Readiness) ในด้านกําลังคน โครงสร้างพื้นฐาน และการกํากับดูแล และการผลักดันการนํา AI ไปใช้ในทุกภาคส่วน (AI Adoption) โดยมีกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนผ่านการจัดตั้งภาคีเครือข่าย (Consortium) และศูนย์ความเชี่ยวชาญ (AI Center of Excellence –COE) อย่างน้อย 9 แห่งที่ตอบโจทย์ในอุตสาหกรรมสําคัญของประเทศ ซึ่งการเตรียมการจัดตั้งศูนย์ AITH ในครั้งนี้ นับเป็นการวางรากฐานนําร่องศูนย์ COE ใน 2 ด้านสําคัญ ได้แก่ การสร้างกําลังคน ผ่านศูนย์นวัตกรรม AI ด้านการศึกษา และการสร้างมาตรฐานกลางสำหรับการประเมิน AI ผ่านศูนย์สอบเทียบสมรรถนะ และทดสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์ AI ซึ่งจะเป็นต้นแบบให้กับการจัดตั้งศูนย์ COE ในสาขาอื่น ๆ ต่อไป

              

“ศูนย์ AITH จะเป็นช่องทางสําคัญให้ภาคอุตสาหกรรมและนักวิจัยสามารถเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐาน AI ของประเทศ ที่ สวทช. ดูแลอยู่ ทั้งระบบลันตาซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (LANTA HPC) และแพลตฟอร์ม AI for Thai ให้บริการ API AI สัญชาติไทย ได้สะดวกยิ่งขึ้น ถือเป็นการนําสินทรัพย์ทางเทคโนโลยีของประเทศมาต่อยอดและขยายผลผ่านความร่วมมือเพื่อสร้างระบบนิเวศ AI ที่เข้มแข็งและแข่งขันได้จริง” ศ.ดร.ชูกิจ กล่าว 

              

ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการ สพธอ. กล่าวว่า ในยุคแรกของการพัฒนา AI มีการใช้ข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต ซึ่งข้อมูลส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ ส่วนข้อมูลในภาษาไทยจะมีสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อย ปัจจุบันมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ไทยต้องพัฒนาข้อมูล เพื่อให้เกิดฐานข้อมูลที่ถูกต้อง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ต้องมีการแลกเปลี่ยนกันอย่างมีธรรมาภิบาล โดยเฉพาะข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งต้องมีการแยกแยะ คัดกรอง เพื่อให้ข้อมูลเหล่านี้ไม่เชื่อมโยงไปที่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง จน AI เกิดอคติได้ ดังนั้นในกระบวนการสร้าง และการพัฒนา AI ของประเทศไทยจะต้องพัฒนาให้เกิดความมั่นใจภายใต้กรอบธรรมาภิบาล AI ที่ชัดเจนและได้มาตรฐาน การจัดตั้งศูนย์ AI Thailand Hub ในครั้งนี้จะเป็นกลไกที่เป็นกลางและโปร่งใส สําหรับทดสอบ ยืนยัน วิเคราะห์ และประเมินระบบ AI ในเชิงปฏิบัติ เพื่อรองรับกรอบนโยบายในระดับประเทศ ศูนย์นี้จึงเป็นหน่วยงานกลางเพื่อเชื่อมระหว่างผู้กําหนดนโยบายและ ภาคปฏิบัติการ เพื่อยกระดับความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ใช้งานทั่วไป และเป็นพลังขับเคลื่อนนวัตกรรม AI ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและยั่งยืน

                

ส่งข่าวได้ที่  email : saowaporn12345@gmail.com   และ  bat_mamsao@yahoo.com

 

หน้าแรก » การศึกษา