วันอังคาร ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2568 06:10 น.

การศึกษา

"สุชาติ ตันเจริญ" ถามดังๆ! ถึงเวลาหรือยังต้องสังคายนาคณะสงฆ์ไทยครั้งใหญ่

วันจันทร์ ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 14.59 น.

พระพุทธศาสนาในประเทศไทยดำรงอยู่คู่สังคมไทยมายาวนาน แต่ในกระบวนการจัดการองค์กรสงฆ์กลับมีปัญหาซ้ำซ้อน ทั้งในด้านพระวินัย การบริหารจัดการวัด และความสัมพันธ์ระหว่างคณะสงฆ์กับรัฐ ความเคลื่อนไหว

ล่าสุดที่นายสุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ออกมาเสนอให้มี “การสังคายนาวงการผ้าเหลือง” นับเป็นการสะท้อนถึงแรงกดดันทางสังคมที่มีต่อความศรัทธาในพระพุทธศาสนา และชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องเชิงโครงสร้างที่ต้องการการปฏิรูปเชิงระบบ

“เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้เราฉุกคิดได้ว่าจะต้องสังคายนา ปฏิรูปวงการพระพุทธศาสนา ซึ่งจะมีการปรึกษากับมหาเถรสมาคม (มส.) ว่าถึงเวลาหรือยัง ที่เราจะสังคายนาพระภิกษุทั้งประเทศ ยอมให้มีการทำประวัติ ตรวจเลือด ตรวจปัสสวะ รวมถึงการตรวจบัญชีทรัพย์สิน ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้พระเสียผู้เสียคน เสียความเป็นสมณเพศ เพราะมีทรัพย์สินโดยที่คนไม่รู้ว่าเป็นเงินของวัดหรือเงินส่วนตัว” นายสุชาติ กล่าว

ความหมายและพัฒนาการของการสังคายนา

ในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา “การสังคายนา” (Sangayana) หมายถึง การประชุมพระสงฆ์เพื่อทบทวน ตรวจสอบ และทำให้บริสุทธิ์ในพระธรรมวินัย โดยเริ่มตั้งแต่พุทธปรินิพพานครั้งแรก จนถึงปัจจุบันมีการสังคายนาเกิดขึ้นหลายครั้งในแต่ละนิกายและประเทศ สำหรับประเทศไทยเอง แม้จะไม่มีการสังคายนาในเชิงพระวินัยระดับโลก แต่ก็มีความพยายามในการปฏิรูปและตรวจสอบคณะสงฆ์ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การตรากฎหมายคณะสงฆ์ในสมัยรัชกาลที่ 5 หรือการปรับปรุงกฎหมายคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม

ดังนั้น การใช้คำว่า “สังคายนา” ในบริบทปัจจุบันจึงมิใช่เพียงการท่องบ่นพระธรรมวินัย แต่หมายถึงการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง การตรวจสอบ และการทำให้คณะสงฆ์กลับคืนสู่หลักวินัยอันเป็นแก่นแท้ของพระศาสนา

บริบทปัญหาและข้อเสนอจากภาครัฐ

กรณีของพระราชวิสุทธิประชานาถ (พระอลงกต) เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี ที่ถูกตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใสของมูลนิธิ การครอบครองทรัพย์สิน และข้อพิรุธด้านเอกสารการบวช ได้กลายเป็นชนวนที่ทำให้รัฐหยิบยกแนวคิด “สังคายนาคณะสงฆ์” อย่างจริงจัง โดยข้อเสนอสำคัญของนายสุชาติ ได้แก่

การตรวจสอบเชิงระบบ – การตรวจสอบประวัติพระภิกษุ การตรวจร่างกาย (ตรวจเลือด ปัสสาวะ) และการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน เพื่อป้องกันการปฏิบัติที่ไม่สอดคล้องกับสมณเพศ

การสังคายนาหน่วยงานรัฐก่อนคณะสงฆ์ – การวิพากษ์ พศ. และสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด (พศจ.) โดยเฉพาะกรณีลพบุรี ที่ไม่สามารถรายงานข้อมูลหรือจับสัญญาณความผิดปกติในพื้นที่ได้ ถือเป็นการชี้ให้เห็นถึงปัญหาการบริหารจัดการและการบังคับใช้นโยบายของรัฐ

การมีส่วนร่วมของมหาเถรสมาคม (มส.) – เนื่องจาก มส.เป็นองค์กรสูงสุดของคณะสงฆ์ไทย การจะดำเนินการใด ๆ ต้องอาศัยความเห็นชอบและการประสานงานกับผู้ปกครองสงฆ์

การสร้างศรัทธาสาธารณะ – การสังคายนาครั้งนี้มิใช่เพียงเรื่องการจัดการเชิงบริหาร แต่ยังเป็นการฟื้นฟูศรัทธาของประชาชนที่กำลังสั่นคลอน

การวิเคราะห์เชิงวิชาการ

การสังคายนาคณะสงฆ์ไทยในบริบทปัจจุบันสามารถวิเคราะห์ได้ใน 3 มิติสำคัญ คือ

มิติทางศาสนา – การตรวจสอบพระภิกษุให้กลับมาดำรงอยู่ในพระธรรมวินัยเป็นหัวใจสำคัญ แต่ต้องทำด้วยความรอบคอบ ไม่ให้กลายเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นสงฆ์ หรือแทรกแซงเกินขอบเขตวินัยสงฆ์

มิติทางสังคม – ความศรัทธาของประชาชนคือทุนทางสังคมที่หล่อเลี้ยงพระพุทธศาสนา เมื่อเกิดกรณีอื้อฉาวซ้ำซาก ความไว้วางใจย่อมถดถอย ดังนั้น การสังคายนาจึงเป็นกลไกสร้างความโปร่งใสและฟื้นฟูศรัทธา

มิติทางการเมืองและการบริหารรัฐ – การที่รัฐเข้ามามีบทบาทตรวจสอบหน่วยงานกำกับดูแลคณะสงฆ์ (พศ.และพศจ.) แสดงให้เห็นถึงการปรับสมดุลระหว่าง “อำนาจสงฆ์” และ “อำนาจรัฐ” ซึ่งเป็นประเด็นละเอียดอ่อน หากดำเนินการโดยไม่ประนีประนอม อาจนำไปสู่ความตึงเครียดระหว่างฝ่ายบ้านเมืองกับคณะสงฆ์

ดังนั้น แนวคิด “การสังคายนาคณะสงฆ์ไทย” ในยุคปัจจุบันไม่ใช่เพียงการตรวจสอบพระภิกษุเท่านั้น แต่รวมถึงการสังคายนาองค์กรรัฐที่กำกับดูแลพระพุทธศาสนาด้วย เพื่อสร้างระบบบริหารที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตอบสนองต่อปัญหาในสังคม แนวทางดังกล่าวจึงควรดำเนินการอย่างรอบด้าน มีส่วนร่วมทั้งจากรัฐ คณะสงฆ์ และประชาชน เพื่อให้พระพุทธศาสนาสามารถดำรงอยู่อย่างมั่นคงและได้รับศรัทธาจากชาวพุทธสืบต่อไป

หน้าแรก » การศึกษา