วันพฤหัสบดี ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2568 10:24 น.

การศึกษา

ว.การจัดการมหิดล เปิดผลวิจัยกลุ่ม Silver Age หรือ 50+ คือ ผู้บริโภคดิจิทัลเต็มรูปแบบ 95%

วันพุธ ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 13.13 น.

ว.การจัดการมหิดล เปิดผลวิจัยกลุ่ม Silver Age หรือ 50+ คือ ผู้บริโภคดิจิทัลเต็มรูปแบบ 95%

 

วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) เปิดผลวิจัย “Silver Age Technology Adoption” เผยข้อมูลสุดเซอร์ไพรส์ลบภาพจำ "ผู้สูงวัยตามเทคไม่ทัน" ชี้กลุ่ม Silver Age หรือ 50+ คือ ผู้บริโภคดิจิทัลเต็มรูปแบบ 95%

 

อาจารย์ประเสริฐ ธวัชโชคทวี อาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ สาขาการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) กล่าวในงานสัมมนา "Silver Edge & AI: พลิกโฉมคุณค่าชีวิต 50+ สู่สังคมยุคเทค AI" ว่า ขณะนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญกับ 2 ปรากฏการณ์สำคัญที่กำลังเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประเทศนั่นคือการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด และการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีข้อมูลที่น่าสนใจระบุว่า ในปี 2567 ประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมีสัดส่วนมากกว่า 20% ของประชากรทั้งประเทศ ขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีก็เกิดขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยอัตราการใช้อินเทอร์เน็ตในกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไปพุ่งจากเพียง 18.20% ในปี 2560 มาอยู่ที่ 69.30% ในปี 2567 และปัจจุบันมีผู้สูงอายุ 50 ปีขึ้นไปกว่า 19.6 ล้านคนที่ใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัลในชีวิตประจำวันและใช้เวลาออนไลน์เฉลี่ยสูงถึง 4 ชั่วโมงต่อวัน จากข้อมูลปี 2567 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ (NSO) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)

 

 

 

“สังคมสูงวัยไม่ใช่แค่การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้สูงอายุ แต่คือ การเปลี่ยนโครงสร้างความต้องการของประเทศทั้งระบบ ตั้งแต่สุขภาพ ความปลอดภัย คุณภาพชีวิต รวมถึงการเข้าถึงบริการต่างๆ ซึ่งไม่ใช่แนวโน้มระยะสั้นแต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของสังคมและตลาดที่ทุกภาคส่วนต้องปรับตัวและทำความเข้าใจ เพื่อปลดล็อกโอกาสทางธุรกิจมหาศาลที่ซ่อนอยู่ในตลาด Silver Economy ซึ่งคาดว่าจะโตถึง 3.5 ล้านล้านบาทในปี 2576”

 

อาจารย์ประเสริฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมและความต้องการกลุ่ม Silver Age ยุคดิจิทัลมากยิ่งขึ้น CMMU จึงจัดทำงานวิจัย " Silver Age Technology Adoption " ศึกษาพฤติกรรม ความกังวล ความต้องการที่แท้จริง และปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจยอมรับหรือปฏิเสธเทคโนโลยีและ AI ของผู้บริโภคกลุ่ม Silver Age เพื่อให้นักการตลาด นักพัฒนาผลิตภัณฑ์ และผู้ประกอบการ สามารถนำผลวิจัยไปต่อยอดและพัฒนากลยุทธ์เชิงธุรกิจเพื่อคว้าโอกาสจาก "เศรษฐกิจสูงวัย" ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วได้ โดยการทำวิจัยครั้งนี้มีกลุ่มตัวอย่าง 621 คน จากกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 50–65 ปี มีสถานะสมรส การศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี หน้าที่การงานมั่นคง และมีรายได้ตั้งแต่ 50,000 ขึ้นไปจนถึงมากกว่า 150,000 บาท ซึ่งไม่เพียงสะท้อนภาพของกลุ่มผู้บริโภคที่มีศักยภาพ แต่ยังเป็น “ตลาดแห่งคุณค่า” ที่การตัดสินใจซื้อไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยราคาเพียงอย่างเดียว แต่ขับเคลื่อนด้วยความรู้ ความคาดหวังในคุณภาพ และความต้องการโซลูชันที่ตอบโจทย์อย่างแท้จริง ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญในการออกแบบกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ตรงใจ

 

ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่ากลุ่ม Silver Age คือผู้บริโภคดิจิทัลที่พร้อมเปิดรับนวัตกรรมใหม่ๆ แต่การตัดสินใจใช้งานถูกขับเคลื่อนจาก “ความกังวล” เป็นหลัก ซึ่งแปรผันตามเพศ การศึกษา และรายได้อย่างมีนัยสำคัญโดย มิติทางเพศ พบว่า ผู้หญิงมีค่าเฉลี่ยความกังวลสูงกว่าผู้ชายในทุกมิติ โดยเฉพาะด้านที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่พื้นฐานอย่างสุขภาพและร่างกาย และความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน มิติการศึกษา พบว่า กลุ่มที่การศึกษาสูงกว่า “ปริญญาโท” มีความกังวลสูงที่สุดในทุกด้าน โดยเฉพาะเรื่องความเหงาหรือการขาดปฏิสัมพันธ์ รายรับ–รายจ่ายและความสัมพันธ์ในครอบครัว สะท้อนถึงแรงกดดันและความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นตามระดับความสำเร็จ ส่วนมิติรายได้ทำให้ “ประเภทความกังวล” เปลี่ยนอย่างชัดเจน โดยกลุ่มรายได้ 80,001–150,000 บาท กังวลสูงสุดเรื่อง “ความปลอดภัย” ในขณะที่รายได้มากกว่า 150,000 บาท กังวลสูงสุดเรื่อง “สุขภาพและร่างกาย” ซึ่งสะท้อนชัดว่า เมื่อมีความมั่นคงทางการเงินดีแล้ว จึงหันไปโฟกัสกับเรื่องคุณภาพชีวิตและสุขภาพแทน ดังนั้น การสื่อสารคุณค่าของผลิตภัณฑ์ต้องให้ความสำคัญกับการสะท้อนและตอบโจทย์ "ความกังวล" ที่เฉพาะเจาะจงของแต่ละกลุ่ม ไม่ใช่การนำเสนอเพียงฟีเจอร์ลอย ๆ

 

ด้านพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน พบว่า Silver Age คือผู้ใช้ดิจิทัลที่ผนวกเทคโนโลยี เข้ากับชีวิตประจำวันอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งการสื่อสาร ความบันเทิง และการซื้อสินค้าออนไลน์ โดยพบว่า Silver Age 95 % ใช้สมาร์ตโฟน และ 61% ใช้ Tablet เป็นอุปกรณ์หลักในชีวิตประจำวัน 93% ใช้ LINE  และ  83% ใช้ Facebook เป็นช่องทางสื่อสารหลัก ส่วนแพลตฟอร์มบันเทิงยอดนิยม 90% ดู YouTube และ 56% ดู Netflix  ในขณะที่แพลตฟอร์มขาประจำสำหรับซื้อสินค้าออนไลน์ Shopee 73%, Lazada 67% และ TikTok Shop 41%

 

ด้านการยอมรับเทคโนโลยี AI พบว่า 94% เคยใช้งาน AI โดย AI Tools ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุด ได้แก่ ChatGPT 72% Google Gemini 49% และ Microsoft Copilot 25% โดยใช้เพื่อค้นหาข้อมูล 82% เรียนรู้ 62% ช่วยงาน 37%   เมื่อศึกษาถึงอุปสรรคการยอมรับเทคโนโลยี พบว่า แม้ส่วนใหญ่เห็นประโยชน์ของเทคโนโลยีชัดเจน (ให้คะแนน 8.25/10) และมีความพร้อมใช้งาน AI แต่ความกังวลยังสูงถึง 7.5/10 โดยอุปสรรคหลัก 3 อันดับแรกมาจาก ความซับซ้อนของระบบและฟังก์ชัน 69% ปัญหาทางกายภาพ เช่น ตัวหนังสือเล็กเกินไป 67% ความกลัวข้อมูลรั่วไหล-ถูกหลอก 57% นอกจากนี้พบอีกว่า 75.6% กลัวใช้งานผิดพลาดหรือทำข้อมูลหาย และ 72.7%รู้สึกว่าเทคโนโลยีซับซ้อนเกินไป ซึ่งปัจจัยที่ช่วยทลายกำแพงความกังวลได้ดีที่สุด คือ "คำแนะนำจากคนที่ไว้ใจได้เพราะ Silver Age ไม่ได้กลัวเทคโนโลยี แต่กลัว “ความยุ่งยาก” และ “ความเสี่ยง” ที่ตามมา

 

ส่วนเทคโนโลยีที่สนใจและพร้อมซื้อ พบว่า เทคโนโลยีด้านสุขภาพและความปลอดภัยได้รับความสนใจจาก Silver Age สูงสุด โดย 3 อันดับแรก ได้แก่ อุปกรณ์แจ้งเตือนฉุกเฉิน (Emergency Alert) 83% แอปพลิเคชัน ปรึกษาแพทย์ทางไกล (TeleMed App) 80% และอุปกรณ์ตรวจวัดสุขภาพ (Health Monitoring Device) 78% โดยผู้ชายให้ความสนใจสูงกว่าผู้หญิงอย่างชัดเจน สะท้อนให้เห็นว่า ผู้ชายวัย 50+ มีแนวคิดแบบ “Focused & Action-Oriented” การหาเครื่องมือที่ช่วยให้ควบคุม ดูแล และป้องกันความเสี่ยงด้านสุขภาพได้ทันที จึงเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพสูง สำหรับแบรนด์และผู้ให้บริการด้าน Health Tech ในการสร้างโซลูชันที่ตอบโจทย์ด้านความปลอดภัยและการดูแลสุขภาพเชิงรุก

 

ส่วนปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจลงทุนในเทคโนโลยีนั้น กลุ่ม Silver Age จะพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างเป็นเหตุเป็นผล โดย 3 ปัจจัยหลักที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อมากที่สุด ได้แก่ ราคาเหมาะสมหรือคุ้มค่า 71% ฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ 60% และความง่ายต่อการใช้งาน 54% โดยแบรนด์ที่สามารถนำเสนอคุณค่าทั้ง 3 ด้านนี้ได้อย่างสมดุลจะเป็นผู้ชนะในตลาดนี้ 

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะเห็นประโยชน์ของเทคโนโลยี แต่ Silver Age ยังมีความกังวลสูงด้านความปลอดภัยและความซับซ้อน ซึ่งปัจจัยที่ช่วยทลายกำแพงได้ดีที่สุดคือ คำแนะนำจากแหล่งที่ไว้ใจได้ แต่ที่น่าสนใจคือ แหล่งที่ Silver Age มองว่าน่าเชื่อถือที่สุดกลับเป็น “ช่องทางออนไลน์ของแบรนด์โดยตรง” (Owned Media) 59% รองลงมารีวิวผู้ใช้จริง 49% และคำแนะนำจากครอบครัว/เพื่อน 44% สะท้อนให้เห็นว่า Silver Age ต้องการ “ความชัดเจนจากแบรนด์” และ “หลักฐานจากผู้ใช้จริง” เพื่อสร้างความไว้ใจ

 

“ผลวิจัยชี้ให้เห็นหลายประเด็นที่น่าสนใจ เช่น ผู้ชายวัย 50+ พร้อมเป็น Early Adopter เทคโนโลยีสุขภาพมากกว่าผู้หญิงอย่างชัดเจน ทำให้เป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญในการเปิดตลาด Health Tech ใหม่ ๆ ขณะเดียวกัน งานวิจัยยังพบช่องว่างสำคัญระหว่าง “ความสนใจในผลิตภัณฑ์” กับ “ความเร่งด่วนในการตัดสินใจซื้อ”โดยบางผลิตภัณฑ์อาจไม่ได้ถูกจัดว่าเป็นที่สนใจอันดับต้น ๆ แต่กลับมีความพร้อมในการจ่ายสูงกว่า สะท้อนว่า การวางกลยุทธ์ทางธุรกิจไม่อาจพิจารณาจากระดับความสนใจเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเข้าใจว่าผลิตภัณฑ์ใดตอบโจทย์สถานการณ์ชีวิตจริง และถูกมองว่า “จำเป็นต้องมี” ในช่วงเวลานั้น และเมื่อแบรนด์สามารถส่งมอบทั้งความน่าเชื่อถือ (Reliability) และความประทับใจ (Delight) ได้พร้อมกัน จึงจะเกิดเป็น ความไว้วางใจ (TRUST) ที่แท้จริง” อาจารย์ประเสริฐ กล่าว

 

ด้านนางสาวธนาวรรณ กล่อมจิตร์ นักศึกษาปริญญาโท วิทยาลัยการจัดการมหาวิทยาลัย มหิดล (CMMU) หัวหน้าทีมวิจัย กล่าวว่า ผลการวิจัยได้นำมาสรุปเป็น 4 กลยุทธ์หลักเพื่อเป็นแนวทางสำหรับมัดใจ ตลาด Silver Age ดังนี้ 1) ออกแบบให้ง่าย แต่สร้างให้ไว้ใจได้ เพื่อสร้างความมั่นใจและทลายความกังวล 2) โฟกัสที่สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ตอบโจทย์การดูแลสุขภาพเชิงรุกและความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน 3) สร้างตัวตนที่น่าเชื่อถือ โดยเฉพาะช่องทาง Official ของแบรนด์ ควบคู่กับการส่งเสริมรีวิวจากผู้ใช้งานจริง 4) Empower ให้ผู้ใช้งาน สื่อสารกับผู้มีอำนาจตัดสินใจตัวจริง พร้อมต่อยอดเป็น "5A Star metrix Framework" กรอบแนวคิดเชิงกลยุทธ์สำหรับผู้ประกอบการเทคโนโลยี นักพัฒนา AI และนักนวัตกรรม เพื่อใช้ในการออกแบบและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตชาว Silver Age ด้วยพลังของเทคโนโลยี และ AI ได้อย่างแท้จริง ประกอบด้วย

 

Accessibility (การเข้าถึง): เทคโนโลยีต้องถูกออกแบบมาสำหรับทุกคน ใช้งานง่าย และเป็นมิตรกับผู้ใช้ทุกระดับประสบการณ์ เพราะอุปสรรคสำคัญของ Silver Age ไม่ใช่ทัศนคติที่ต่อต้านเทคโนโลยี แต่คือประสบการณ์ในอดีตที่ยุ่งยากจนทำให้ไม่กล้าลองสิ่งใหม่ การออกแบบที่เข้าใจผู้ใช้จึงเป็นจุดตั้งต้นของการยอมรับ

 

Assurance (ความมั่นใจ): เทคโนโลยีต้องสร้างความเชื่อมั่นผ่านคำแนะนำจากบุคคลในครอบครัว มีการรับรองจากผู้เชี่ยวชาญและรีวิวที่ตรวจสอบได้

 

Autonomy (ความเป็นอิสระ): เทคโนโลยีควรเป็นเครื่องมือที่เสริมพลัง และช่วยให้มีอิสระในการใช้ชีวิต ช่วยให้ผู้สูงวัยสามารถจัดการสุขภาพเชิงรุกและดูแลตนเองได้ เพราะสิ่งที่ผู้สูงวัยกลัวที่สุดไม่ใช่โรคภัยแต่คือ การสูญเสียความสามารถในการดูแลตัวเอง

 

Affordability (ความคุ้มค่า): Silver Age ไม่ได้มองหาเทคโนโลยีที่ถูกที่สุด แต่ต้องการราคาที่สมเหตุสมผล สอดคล้องกับคุณค่าที่ได้รับ การสื่อสารให้เห็นความคุ้มค่าอย่างชัดเจนและมีทางเลือกที่ยืดหยุ่น คือกุญแจสำคัญของการตัดสินใจซื้อ

 

Affinity (ความผูกพัน): เทคโนโลยีที่ประสบความสำเร็จต้องเชื่อมโยงผู้สูงวัยกับครอบครัว ผ่านฟีเจอร์ที่ใช้งานร่วมกันได้ เช่น บัญชีหลายผู้ใช้หรือแดชบอร์ดสำหรับครอบครัว เพราะผลิตภัณฑ์ที่สร้างสรรค์ “เพื่อทั้งบ้าน”มีโอกาสถูกตัดสินใจซื้อมากกว่าผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์เฉพาะผู้สูงวัยเพียงคนเดียว หากเทคโนโลยีช่วยให้ลูกหลานมีส่วนร่วมดูแลและสร้างความอุ่นใจร่วมกัน จะช่วยให้เกิดการยอมรับและยอมจ่ายได้อย่างรวดเร็ว

 

“งานวิจัยและงานสัมมนาในครั้งนี้ไม่เพียงนำเสนอข้อมูลทางวิชาการ แต่ยังต้องการเปิดโอกาสทางธุรกิจการสร้างนวัตกรรมที่มีคุณค่า เพื่อยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัยในสังคมไทยอย่างยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดลในการสร้าง Real World Impact ต่อสังคมอย่างแท้จริง”นางสาวธนาวรรณ กล่าวทิ้งท้าย

 

ส่งข่าวได้ที่  email : saowaporn12345@gmail.com    และ  bat_mamsao@yahoo.com

 

หน้าแรก » การศึกษา

ข่าวในหมวดการศึกษา