วันศุกร์ ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 04:30 น.

การตลาด

อนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านภาพยนตร์สารคดี เตรียมดันกรุงเทพฯ สู่ฮับภาพยนตร์แห่งทวีปเอเชียในอีก5ปี

วันพุธ ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 13.44 น.

อนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านภาพยนตร์สารคดี
เตรียมดันกรุงเทพฯ สู่ฮับภาพยนตร์แห่งทวีปเอเชียในอีก5ปี

 



ตลาดภาพยนตร์ไทยตอนนี้เรียกได้ว่าก้าวไปอย่างดี มีแรงหนุนจากการผ่านความเห็นชอบของ “ร่างพระราชบัญญัติภาพยนตร์ฉบับใหม่” จากคณะรัฐมนตรีเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ภายใต้การผลักดันอย่างเข้มข้นของกรมส่งเสริมวัฒนธรรม คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านภาพยนตร์ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา


 

โดยกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เป็นเพียงการแก้ไขระเบียบปฏิบัติ แต่เป็นการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ครั้งสำคัญ ที่มุ่งเน้นการปลดล็อกศักยภาพ ยกระดับมาตรฐาน และเปิดประตูให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้

กฎหมายใหม่ 9 จุดเด่น: สัญญาณแห่งการปฏิรูป

 

ข้อมูลจาก THACCA ระบุว่าการปรับปรุงกฎหมายครั้งนี้สะท้อนถึงความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นต่อธรรมชาติของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ โดยมี 9 จุดเด่น ที่จะพลิกโฉมวงการภาพยนตร์ไทยคื

 

1. แยก “ภาพยนตร์” ออกจาก “เกม”: การแยกกฎหมายภาพยนตร์ออกจากเกมเป็นสิ่งจำเป็น เพราะทั้งสองอุตสาหกรรมมีการเติบโตและลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน การมีกฎหมายเฉพาะสำหรับเกม (“พระราชบัญญัติส่งเสริมอุตสาหกรรมเกม”) จะช่วยให้การสนับสนุนและการกำกับดูแลมีความเหมาะสมและตอบโจทย์แต่ละอุตสาหกรรมได้ดียิ่งขึ้น

 

2. รื้อบอร์ดภาพยนตร์ระดับชาติ: การยกเลิกคณะกรรมการชุดเดิมและจัดตั้ง “คณะกรรมการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์แห่งชาติ” ที่มีสัดส่วนกรรมการจากภาคเอกชนมากกว่าภาครัฐ ถือเป็นการเปลี่ยนผ่านจากบทบาท “ควบคุม” เป็น “ส่งเสริม” อย่างแท้จริง การที่ “ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมภาพยนตร์แห่งประเทศไทย” เข้ามาร่วมกำหนดนโยบายโดยตรง จะทำให้เสียงสะท้อนจากคนในวงการได้รับการรับฟังและนำไปปฏิบัติอย่างแท้จริง

 

3. จัดตั้ง สภาอุตสาหกรรมภาพยนตร์แห่งประเทศไทย: การรวมตัวของภาคเอกชนเป็นสภาฯ เป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมการกำกับดูแลกันเอง และเป็นช่องทางให้ภาคเอกชนรวบรวมปัญหาและนำเสนอมาตรการที่ตรงจุด ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความเป็นเอกภาพของอุตสาหกรรม

 

4. เอกชน “จัดเรตเองได้”: นี่คือหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดที่มอบ “เสรีภาพในการสร้างสรรค์” ให้กับผู้ผลิต การที่เอกชนสามารถจัดเรตภาพยนตร์ด้วยการรับรองตนเอง (Self-regulate rating system) โดยอยู่ภายใต้กรอบมาตรฐานที่รัฐและเอกชนร่วมกันกำหนด จะช่วยลดข้อจำกัดและส่งเสริมความหลากหลายของเนื้อหา

 

5. ใช้ “มาตรฐานการจัดเรตต่างประเทศ” ได้: การเปิดโอกาสให้นำมาตรฐานการจัดเรตของหน่วยงานต่างประเทศมาใช้ได้ เป็นการยกระดับมาตรฐานภาพยนตร์ไทยให้เป็นสากลและเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ซึ่งอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงตลาดโลก

 

6. ยุบบอร์ดเซนเซอร์ – เปลี่ยนเป็นกำกับดูแล: การยกเลิกบอร์ดเซนเซอร์และจัดตั้ง “คณะกรรมการติดตามและกำกับดูแลการจัดระดับความเหมาะสมภาพยนตร์” แทน สะท้อนการเปลี่ยนผ่านจาก “การควบคุมเนื้อหา” ไปสู่ “การกำกับดูแลให้เกิดความรับผิดชอบ” ซึ่งเป็นแนวทางที่ทันสมัยและส่งเสริมการเติบโตอย่างมีวุฒิภาวะ

 

7. เลิกใบอนุญาตโรงภาพยนตร์ เปลี่ยนเป็นระบบจดแจ้ง: การลดขั้นตอนและอุปสรรคในการขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงภาพยนตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการรายเล็ก จะช่วยส่งเสริมการลงทุนและกระจายโอกาสในการเข้าถึงพื้นที่ฉายภาพยนตร์มากขึ้น

 

8. ค่าธรรมเนียม ค่าปรับพินัย เป็นธรรม: การปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียมและค่าปรับให้มีความยืดหยุ่นและเป็นธรรม โดยคำนึงถึงขนาดและโอกาสของผู้ประกอบการ จะช่วยลดภาระและสร้างความเสมอภาคให้กับผู้เล่นในอุตสาหกรรมทุกขนาด

 

9. รัฐ-เอกชน ร่วมกันทำนโยบายส่งเสริมภาพยนตร์ 5 ด้าน: การมีนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ระยะ 5 ปี ที่ครอบคลุมตั้งแต่การวิจัยพัฒนาบุคลากรไปจนถึงการสนับสนุนการบุกตลาดต่างประเทศ แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่ครบวงจรและมุ่งเป้าสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนล่าสุด“นาย ดรสะรณ โกวิทวณิชชา” อนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านภาพยนตร์สารคดี และแอนิเมชัน และ Festival Director: World Film Festival Bangkok เปิดเผยถึงการเติบโตและผลักดันให้ ดันกรุงเทพฯ สู่ฮับภาพยนตร์แห่งทวีปเอเชีย



“ในปีนี้เราเตรียมจัดเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ (BKIFF) กลับมาจัดงานอีกครั้ง เพื่อให้เป็นเวทีเชื่อมโยงอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยกับนานาชาติ และเป็นเทศกาลภาพยนตร์ระดับชาติงานแรกของไทยที่จัดขึ้นอย่างเป็นระบบ และ ผลักดันให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางสำคัญด้านภาพยนตร์ในภูมิภาคเอเชียและเวทีโลก”



“พร้อมกันนี้ BKIFF ยังวางแผนทำงานระยะยาวโดยในปีแรก จะจัดการแข่งขันภาพยนตร์ระดับนานาชาติ พร้อมเชิญผู้กำกับ นักแสดง และทีมงานระดับสากลมาแลกเปลี่ยนความรู้ ตั้งแต่ปีที่สองเป็นต้นไปเทศกาลมีแผนเข้าสู่กระบวนการรับรองจาก FIAPF (สหพันธ์โปรดิวเซอร์นานาชาติ) เพื่อเป็นเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติที่ได้รับการรับรองหนึ่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะดึงดูดภาพยนตร์ระดับ Asian Premiere หรือ World Premiere เข้ามาร่วมงานได้”



“นอกจากนี้ยังเตรียมพัฒนา Industry Program เพื่อรองรับการจัดตั้ง Film Market อย่างเต็มรูปแบบ โดยตั้งเป้าให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลาง Film และ Content Market ที่สำคัญที่สุดในภูมิภาคภายใน 5 ปี พร้อมตั้งเป้าจัดตั้งโปรแกรม Series Awards เพื่อมอบรางวัลให้กับซีรีส์คุณภาพ


ตลาดภาพยนตร์ไทยสัญญาณดี ทำเงินเกิน 100 ล้านข้อมูลล่าสุดจาก M STUDIO ระบุว่า สัดส่วนรายได้ของภาพยนตร์ไทยในตลาดเริ่มแซงหน้าภาพยนตร์ฮอลลีวูด โดยในปี 2024 ภาพยนตร์ไทยมีสัดส่วนรายได้ถึง 54% เมื่อเทียบกับฮอลลีวูดที่ 38% และอื่นๆ 8% จากมูลค่าตลาดรวม 4,485 ล้านบาท

 

เป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงให้เห็นถึงความนิยมของคอนเทนต์ไทยในประเทศ โดยมีภาพยนตร์ไทยถึง 8 เรื่องที่ทำรายได้เกิน 100 ล้านบาทในปี 2024 เช่น “ธี่หยด 2” (815 ล้านบาท) และ “หลานม่า” (339 ล้านบาท) ขณะที่ภาพยนตร์ฮอลลีวูดมีเพียง 4 เรื่องที่ทำได้ถึงระดับนี้


แม้ว่าภาพยนตร์ไทยจะเริ่มกลับมาเป็นผู้นำในตลาดในประเทศ แต่ภาพรวมรายได้ของบ็อกซ์ออฟฟิศในประเทศไทยโดยรวมยังไม่กลับไปสู่ระดับก่อนเกิดโรคระบาด โดยในปี 2023 มีรายได้รวม 6.3 พันล้านบาท และปี 2024 ลดลงเหลือ 5.6 พันล้านบาท ซึ่งยังคงต่ำกว่าปี 2019 ที่มีรายได้สูงถึง 8.5 พันล้านบาท

หน้าแรก » การตลาด