การเมือง
"ปรเมศวร์" ชี้นักกม.ไทยยังเลือกปฏิบัติ แนะยกระดับภาพลักษณ์ ตร. นำองคุลีมาลโมเดลคืนคนดีสู่สังคม
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่

วันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๕ พระปราโมทย์ วาทโกวิโท,ดร. อาจารย์หลักสูตรสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) เลขานุการศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน มจร ผู้แทนกลุ่มการเวกสรุปการเรียนรู้การสัมมนาวิชาการ นักศึกษาหลักสูตรการบริหารงานยุติธรรมระดับกลาง รุ่น ๑๗ กระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. นักศึกษาผู้เข้ารับการฝึกอบรม “หลักสูตรการบริหารงานยุติธรรมระดับกลาง” รุ่น ๑๗ มีการจัดเวทีสัมมนาวิชาการ หัวข้อ “แนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพผู้บังคับใช้กฎหมาย” ณ สถาบันพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม สำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม ผ่านออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งมีพิธีกรโดย นางสาวทัศนวรรณ จุลละศร เจ้าหน้าที่ศาลปกครองชำนาญการพิเศษ สำนักงานศาลปกครอง และผู้ดำเนินรายการสัมมนาวิชาการโดย ว่าที่ร้อยตรี พรินทร์ เพ็งสุวรรณ นักวิชาการยุติธรรมชำนาญการพิเศษ สำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงยุติธรรม โดยตั้งคำถามถึงผู้ทรงคุณวุฒิว่าเรามีปัญหา อุปสรรคอย่างไรในการใช้บังคับกฎหมายในปัจจุบัน โดยมีวิทยากรผู้ทรงวุฒิแลกเปลี่ยนประกอบด้วย
๑) พลตำรวจตรี มนตรี เทศขัน ผู้บังคับการปราบปรามกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กล่าวประเด็นสำคัญว่า มองว่าตำรวจเป็นต้นทางกระบวนการยุติธรรมในกรณีอาญาตำรวจจะเกี่ยวข้องอยู่เสมอ ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายในกรณีคดีต่างๆ เช่น ฆาตกรต่อเนื่องมีการฆาตกรรมต่อเนื่องจำนวน ๕ ศพ สุดท้ายศาลพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งฆ่าคน ๕ คน สุดท้ายพ้นโทษออกมาแล้วมาฆาตกรรมคนที่ ๖ ทำให้ศาลชั้นต้นลงโทษประหารชีวิต สิ่งที่เป็นคำถามว่าเมื่อพ้นโทษออกมาจะมีศพที่ ๗ หรือไม่อย่างไร แนวทางการบังคับใช้กฎหมายจะเป็นอย่างไร รวมถึงคดีเกี่ยวกับลักทรัพย์นายจ้างซึ่งความเสียหายมหาศาล จำนวน ๘,๐๐๐ ล้าน โดยจำคุกเพียง ๑๐ ปี และการซื้อขายของออนไลน์เป็นการเข้าถึงประชาชนที่ง่ายที่สุดมีการหลอกขายเสื้อผ้ามีการจำคุก ๖ เดือน มีคนจำนวนมากไม่ได้แจ้งความ แม้แต่ประเด็นการหลอกใช้ฉลากที่ราคาถูกกว่าท้องตลาด โดยเป็นการตัวอย่างจากกรณีตัวอย่างจริงในสังคมไทย แต่แท้จริงของการบังคับใช้กฎหมายคือ ความสงบสุขของสังคม แต่ถ้ามีการทำผิดพลาดเข้าไปอยู่ในคุก จะต้องสามารถพึ่งตนเองได้มีสัมมาอาชีพได้ ซึ่งผู้พ้นโทษสังคมอาจไม่มีความไว้วางใจ จึงต้องมีการออกเพื่อมีแนวทางในการประกอบอาชีพที่เป็นสัมมาชีพ ประเด็นการถูกหลอกลวงในโลกของออนไลน์เพราะ “ความกลัวและความโลภ” ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ จึงต้องสร้างการตระหนักในการดำเนินชีวิต
๒) นายปรเมศวร์ อินทรชุมชน อธิบดีอัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวประเด็นสำคัญว่า เราต้องมองทุกมิติเพราะที่ผ่านมาสังคมปัจจุบันผิดปกติ จึงมีคำว่า“ความล้าช้าคือความไม่ยุติธรรม” เราจึงต้องมีสื่อสารความจริงกันมีความชัดเจน ซึ่งระบบกฎหมายกำลังเสียหาย “หลักการไม่มีการต่อรอง” หมายถึง กฎหมายต้องบังคับใช้อย่างยุติธรรม ซึ่งภาษากฎหมายจะต้องมีแปลความหมายไม่ใช่ว่าใครอ่านจะเข้าใจ จะต้องมาตีความหมายไม่ตรงกับพจนานุกรม ทำให้มีการแปลกฎหมายไปคนละทิศละทาง โดยนักกฎหมายจะต้องทำความเข้าใจกฎหมายอย่างถ่องแท้ นักฎหมายมีความอ่อนล้าต้องไม่เป็นม้าลำปาง หลักการของกฎหมายมีความชัดเจน แต่ปัจจุบันเราเห็นนักกฎหมายออกมาสื่อสารในสื่อออนไลน์จำนวนมาก การเลือกปฏิบัติในสังคมไทยยังชัดเจนเพราะเรามีศักดิดา โดยนักกฎหมายจะต้องตัดสินคดีโดยปราศจากอคติ ๔ ในทางพระพุทธศาสนา อย่าตัดสินเพราะกลัว เพราะความโกรธ เป็นต้น เราจึงมองเห็นปัญหาของการบังคับใช้กฎหมายในประเทศไทย จึงต้องยกระดับภาพลักษณ์ตำรวจในการทำงานด้านยุติธรรม ประเด็นคุกในต่างประเทศมีการนำเอกชนมาบริหารอย่างชัดเจนคือ คุกเอกชน ในประเด็น “พักการลงโทษ” พยายามมุ่งทำตามเกณฑ์แต่ออกมาทำผิดพลาดซ้ำ การบังคับคนการลงโทษคนเป็นอย่างไร ทำให้นึกถึงกรณี “คืนคนดีสู่สังคม” คำถามว่าเราคืนคนดีสู่สังคมได้จริงหรือไม่อย่างไร จึงต้องไปใช้แนวคิดทฤษฎีด้านพุทธศาสตร์คือ “องคุลีมาลโมเดล”
นายปรเมศวร์ กล่าวย้ำว่า สถาบันอุดมศึกษาจะต้องสอนเรื่องการตีความของกฎหมาย
๓) นายจิรสวัสดิ์ สุรฤทธิ์ธำรง ตุลาการศาลปกครองกลาง กล่าวประเด็นสำคัญว่า กระบวนการในการบังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพจะต้องใช้หลักของการตีความ กฎหมายเป็นเครื่องมือของการอยู่ร่วมกันของคนในสังคม ผู้ร่างกฎหมายมีวัตถุประสงค์อย่างไร ปัจจุบันกฎหมายมีจำนวนมากมายในบ้านเมืองไทย ทำให้เราศึกษาไม่หมดเพราะกฎหมายจำนวนมาก จึงต้องศึกษาเฉพาะเรื่องมีการตีความเฉพาะเรื่อง ประเด็นการร่างกฎหมาย การตีความกฎหมาย และการบังคับใช้กฎหมาย ในส่วนของกฎหมายความรุนแรงในครอบครัวถือว่าเป็นหน้าที่ ถ้ามีการเห็นการกระทำความรุนแรงจะต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ ในรัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ มีกระบวนการยุติธรรมทางแพ่ง ทางอาญา และทางปกครอง โดยมองประเด็นการทำแท้งในสหรัฐอเมริกามีกฎหมายที่แตกต่างกันในประเด็นการทำแท้ง การร่างกฎหมายและการบังคับใชกฎหมายจึงต้องตระหนัก ประเด็นการใช้กฎหมายจะต้องตระหนักในการวินิจฉัยในภาษาของกฎหมาย “นักกฎหมายตีความต่างกัน” เช่น ตั้งแต่ และ นับแต่ มีการตีความต่างกัน โดยตั้งแต่ใช้วันนี้ นับแต่ใช้วันถัดไป “นักกฎหมายมีความเป็นเอกภาพในการเข้าใจกฎหมายไปในทิศทางเดียวกัน” ซึ่งปัญหาภาษากฎหมายประชาชนเข้าใจยากอ่านแล้วต้องตีความ ทำให้มีการตีความต่างกัน แม้แต่นักกฎหมายยังมีตีความแตกต่างกันเพราะภาษาของกฎหมายอ่านแล้วต้องมาตีความนำไปสู่การตีความแตกต่างกัน แต่หลักการที่สำคัญจะต้องไม่เลือกปฏิบัติ มีความเสมอภาคในการบังคับใช้กฎหมาย
โดยในมุมส่วนตัวผ่านการบูรณาการในการบังคับใช้กฎหมายมองผ่านแนวคิดในทางพุทธสันติวิธี จะต้อง “เคารพในความเป็นมนุษย์ ไม่เลือกปฏิบัติ ก้าวข้ามระบบวรรณะศักดินา มีความเสมอภาค มีความยุติธรรม และมีความสุจริตมีธรรมาภิบาลเป็นฐาน” ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นใครถ้าทำผิดควรมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน บังคับในการลงโทษหรือมิติใดก็ตามเพื่อให้คนกระทำผิดเกิดความสำนึกผิด ไม่กระทำผิดซ้ำ เพราะผิดมากผิดน้อยนั่นคือความผิด แต่ผิดแล้วสำนึกผิดหรือไม่อย่างไร แต่เราได้ยินบ่อยว่า “คุกมีไว้ขังคนจนเท่านั้น” ถ้าไม่ต้องการให้ใครมาบังคับต้องป้องกันตนเองและสังคมไม่ให้กระทำผิด ด้วยสังวรปธาน เพียรป้องกันการกระทำผิด โดยยึดมั่นในหลักพื้นฐานของพื้นฐานการเป็นมนุษย์คือ ศีล ๕ ด้วยการไม่ไปละเมิด ๕ ประการ ผ่านการเคารพในชีวิตของผู้อื่น เคารพทรัพย์สินของผู้อื่น เคารพในครอบครัวของผู้อื่น เคารพในสังคมและการใช้การสื่อสารของผู้อื่น และเคารพในสุขภาพตนเองและผู้อื่น แท้จริงถ้าทุกคนเคารพกฎหมายบ้านเมืองจะเกิดสันติสุขแต่กฎหมายจะต้องร่างขึ้นมาเพื่อมนุษย์ทุกคนมิใช่เพื่อพวกพ้องของตนเองหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น โดยตระหนักการป้องกันในมิติต่างๆ มากกว่าการลงโทษซึ่งเป็นปลายเหตุของการกระทำผิด เพราะการกระทำผิดอาจจะมาจากสาเหตุทางเศรษฐกิจปากท้อง ระบบความเหลื่อมล้ำของคนในสังคม รวมถึงการขาดสติขาดการยับยั้งช่างใจ
ติดตามข่าวด่วน กระแสข่าวบน Facebook คลิกที่นี่
หน้าแรก » การเมือง
Top 5 ข่าวการเมือง ![]()
- “วรภัค” รมช.คลัง ประกาศลาออก ไม่ให้เป็นภาระรัฐบาล ยืนยันไม่เกี่ยวข้องสแกมเมอร์กัมพูชา 22 ต.ค. 2568
- "แพทองธาร" แจงลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยต่อที่ประชุม สส.-กก.บห. 22 ต.ค. 2568
- รัฐสภาโลก IPU หนุนญัตติไทย ดัน “สแกมเมอร์–อาชญากรรมองค์กร” เป็นวาระเร่งด่วน โหวตเห็นชอบเกินสองในสาม ขณะกัมพูชาไม่ร่วมลงคะแนน 22 ต.ค. 2568
- “วราวุธ” โต้ข่าวลือย้ายเข้าเพื่อไทย หลัง "อุ้งอิ้ง" ลาออก ลั่น “ผมยังเป็นหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา” 22 ต.ค. 2568
- "อนุทิน" ยันไม่มีใครกดดัน "วรภัค" ลาออก ถือเป็นการแสดงสปิริต เชื่อไม่กระทบความเชื่อมันรัฐบาล หลังถูกปูดเอี่ยวสแกมเมอร์ 22 ต.ค. 2568
ข่าวในหมวดการเมือง ![]()
โฆษกรัฐบาลยันไทยไม่มีปล่อยตัว 18 เชลยศึกเขมร หากกัมพูชาไม่ทำตามข้อตกลงปราบสแกมเมอร์และข้อตกลงที่เหลือ 21:21 น.
- "ดร.มหานิยม" รับพรจาก "เจ้าคุณสุธรรม สุธัมโม" ขอให้ส่งเสริมงานด้านพระพุทธศาสนาต่อไปและชนะเลือกตั้งสส. 19:47 น.
- "อภิสิทธิ์" คืนจอการเมือง ย้ำภารกิจฟื้นอุดมการณ์ "ซื่อสัตย์สุจริต" อัดประชานิยมแบกหนี้ชาติ เปรียบ สส.ย้ายพรรคเหมือนกองหน้าค่าตัวแพงแต่ยิงไม่ได้ 19:13 น.
- "มงคลกิตติ์" ยินดี "อภิสิทธิ์" คัมแบล็คหัวหน้าปชป. เตรียมหารือ "เฉลิมชัย" วางเส้นทางการเมืองตัวเอง 18:15 น.
- "ดร.มหานิยม-คุณน้ำผึ้ง-ประธานดอกบัวคู่" ร่วมทอดกฐินวัดป่าโคกกลางเต่างอย 17:42 น.