เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2568 การประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา (Inter-Parliamentary Union: IPU) สมัยที่ 151 มีมติรับรองร่างญัตติที่ ประเทศไทยร่วมกับชาติพันธมิตร เสนอให้บรรจุเรื่อง “อาชญากรรมองค์กรและอาชญากรรมไซเบอร์” เป็น วาระเร่งด่วน ของการประชุมใหญ่ปีนี้

ผลการลงคะแนนมี เสียงเห็นชอบกว่า 850 เสียง คิดเป็นมากกว่าสองในสามของที่ประชุม ขณะที่ มีเสียงคัดค้าน 200 เสียง และ กัมพูชาไม่เข้าร่วมโหวต

ญัตติของไทยมุ่งเน้นให้รัฐสภาทั่วโลกตระหนักถึงภัยจากเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งสแกมเมอร์และอาชญากรรมไซเบอร์ ที่สร้างผลกระทบต่อประชาชน เศรษฐกิจ และความมั่นคงของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก พร้อมเชิญชวนให้แต่ละรัฐสภาใช้บทบาททางนิติบัญญัติร่วมกันในการแก้ไขปัญหา

ร่างญัตติดังกล่าวเสนอโดย รัฐสภาไทย อาร์เจนตินา ชิลี โปแลนด์ และสวีเดน และได้รับการสนับสนุนจาก กลุ่มละตินอเมริกาและแคริบเบียน รวมถึง กลุ่มทเวลฟ์พลัส (Twelve Plus Group)

ทั้งนี้ รัสเซีย เป็นหนึ่งในประเทศที่คัดค้าน โดยให้เหตุผลว่าไทยดำเนินการไม่เป็นไปตามขั้นตอน แต่คณะกรรมการของ IPU ยืนยันว่าการเสนอญัตติเป็นไปอย่างถูกต้องตามระเบียบทุกประการ

การที่ญัตติของไทยได้รับเสียงสนับสนุนอย่างท่วมท้น ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อการผลักดันให้รัฐสภาทั่วโลกร่วมกันต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติและอาชญากรรมไซเบอร์ ซึ่งกำลังกลายเป็นปัญหาระดับโลกที่ต้องการการรับมืออย่างเร่งด่วน

นายรังสิมันต์ โรม สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะสมาชิกรัฐสภาไทยที่เข้าร่วมประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา หรือ IPU สมัยที่ 151 ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เปิดใจถึงกรณีที่ร่างข้อมติของไทยว่าด้วยการปราบปรามสแกมเมอร์และองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ชนะโหวตในวงประชุมใหญ่ IPU ได้รับการบรรจุเป็น “วาระเร่งด่วน ” หรือ Emergency item ครั้งประวัติศาสตร์ 

โดย สส.โรม บอกว่า แม้จะได้รับความร่วมมือที่ดีมากๆ โดยเฉพาะจากประเทศในภูมิภาคเอเชียด้วยกัน แต่การจะชนะโหวตด้วยคะแนน 2 ใน 3 นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ 

สส.รังสิมันต์​ อธิบายว่า ความยากเป็นเพราะคะแนนจากกลุ่มประเทศที่แบ่งกันตามภูมิภาค  เช่น แอฟริกา ละตินอเมริกา และยุโรป แต่ละกลุ่มมีคะแนนรวมกันสูงมาก โดยเฉพาะยุโรปที่มีคะแนนมากที่สุด ไทยจึงมีความจำเป็นที่จะต้องพูดคุยเจรจากับประเทศต่างๆ เหล่านั้น เพื่อขอการสนับสนุน

“ต้องขอขอบคุณประเทศออสเตรเลียที่สนับสนุนไทยอย่างแข็งขัน ช่วยเป็นตัวเชื่อมให้ไทยได้คุยกับกลุ่มประเทศในยุโรป โดยเฉพาะโปแลนด์ที่ทำหน้าที่เชื่อมไทยกับประเทศในยุโรปชาติอื่นๆ อีก เช่น สวีเดน และยังรวมถึงละตินอเมริกาด้วย” 

สส.โรม เล่าถึงจุดพลิกเกมที่ทำให้ร่างข้อมติของไทยกลายเป็นร่างที่ได้เปรียบ และชนะโหวตในที่สุด 

“เบื้องต้นไทยโฟกัสเฉพาะเรื่องศูนย์กลางสแกมเมอร์ และอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามพรมแดนเท่านั้น แต่เราก็ต้องยอมรับว่าการจะได้รับเสียงสนับสนุนมากพอ ต้องมีการเจรจาและสอบถามความต้องการของเพื่อนสมาชิกกลุ่มอื่นๆ ด้วย และเราพบว่ากลุ่มประเทศละตินอเมริกาและยุโรปต้องการผลักดันเรื่อง 'อาชญากรรมองค์กรข้ามชาติ' และ 'ขบวนการค้ายาเสพติด'  ซึ่งเมื่อทีมรัฐสภาไทยนำมาพิจารณาแล้ว ก็พบว่าเรื่องยาเสพติดเป็นปัญหาใหญ่ของไทยด้วยเช่นกัน จึงนำประเด็นความต้องการเหล่านี้มารวมกันกับของไทย และประสานงานกันอย่างใกล้ชิด”

“ทีมเลขาฯของรัฐสภาก็ร่วมทำงานด้วยกันจนดึกดื่นทุกคืน ต้องพูดคุยเจรจา เพราะการจะนำ 3 เรื่องจาก 3 ทวีปมารวมกันเป็นข้อมติเดียว ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะถึงแม้จะมีหัวข้อใหญ่เดียวกัน แต่มีรายละเอียดที่แตกต่างกันมาก” 

“แต่ข้อดีก็คือ เมื่อร่างข้อมตินี้ผ่านเกณฑ์ 2 ใน 3 และได้รับการบรรจุเป็นระเบียบวาระเร่งด่วน เมื่อถึงในชั้นของกรรมาธิการยกร่าง คงจะทำงานกันง่ายขึ้น เพราะเหมือนกับได้ทำงานร่วมกันมาก่อนแล้ว” 

สส.รังสิมันต์ ยังตั้งข้อสังเกตถึงท่าทีของกัมพูชา ว่า “หายไปไหน ทำไมไม่มาโหวต” ทั้งๆ ที่ตอนแรกก็พูดทำนองว่าจะไม่คัดค้าน แต่ท้ายที่สุดก็หายไป ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะการทำงานเรื่องสแกมเมอร์ จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกประเทศ                   

สส.รังสิมันต์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ความสำเร็จในครั้งนี้ถือเป็นการบันทึกหน้าประวัติศาสตร์ เพราะเป็นร่างข้อมติเพื่อเสนอเป็น “วาระเร่งด่วน” หรือ Emergency item ร่างแรกที่เสนอโดยประเทศไทย แล้วผ่านเข้าสู่เวทีใหญ่ IPU ได้สำเร็จ และยังถือว่าได้คะแนนโหวตสูงมาก เพราะตั้งเป้าไว้ว่าได้ประมาณ 700 คะแนนก็หรูแล้ว แต่คะแนนออกมาได้ไปมากกว่า 800 คะแนน

โอกาสนี้ สส.โรม ยังได้กล่าวขอบคุณประธานวันนอร์ และทีมสนับสนุนจากเจ้าหน้าที่รัฐสภาทุกคน