วันจันทร์ ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 13:55 น.

การเมือง

‘เอ้-หลี่ฟ้าเฉิน’ ลุยขอคะแนนถึงถิ่น พบ “สหสมาคมตระกูลแซ่”

วันพฤหัสบดี ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2565, 13.03 น.

‘เอ้ สุชัชวีร์ - หลี่ฟ้าเฉิน’ ผู้สมัคร ผู้ว่าฯ เบอร์ 4 ลุยขอคะแนนถึงถิ่น พบ “สหสมาคมตระกูลแซ่”  พร้อมประกาศทำงานด้วยความซื่อสัตย์ ยึดความกตัญญู ทดแทนพระคุณแผ่นดิน

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม 2565  ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคประชาธิปัตย์ หมายเลข 4 เข้าพบสหสมาคมตระกูลแซ่แห่งประเทศไทย ในการประชุมคณะกรรมการครั้งที่ 1 พ.ศ. 2565  ที่โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน บางรัก โดยได้กล่าวในที่ประชุมว่า ตนก็เป็นคนเชื้อสายจีน มีชื่อจีนว่า “หลี่ฟ้าเฉิน” ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ได้เล่าให้ตนฟังอยู่เสมอว่า เรามีโอกาสมาอยู่บ้านนี้บ้านเมืองนี้มาเพื่ออยู่ใต้พระบรมโพธิสมภาร ทำให้เราทุกคนได้มีโอกาสทำมาหากิน ได้มีโอกาสเรียนหนังสือ และคุณแม่พูดกับตนทุกวันว่า เอ้ ถ้าเกิดลูกมีโอกาสก็ขอให้ตอบแทนพระคุณของแผ่นดินนี้ เพราะเราลูกหลานคนจีน ยึดถือเสมอว่าความกตัญญูกตเวทีนั้น เป็นสมบัติที่สูงที่สุด เป็นสิ่งที่ลูกหลานทุกคนต้องยึดถือปฏิบัติเสมอมา 

“ผมเชื่อนะครับ ผมกลับมาที่นี่ ผมมาพูดด้วยใจ ในฐานะลูกหลานคนหนึ่ง ที่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน ชีวิตของผมได้มีโอกาสเพราะได้เล่าเรียน สมัยก่อนทั้งคุณแม่ คุณลุง ชวนญาติที่เมืองจีนมาเมืองไทย แต่สมัยนี้พวกเขาบอกว่าชีวิตที่เมืองจีนมีโอกาสมากกว่า ทั้งโอกาสในการทำธุรกิจ โอกาสทางการศึกษา โอกาสอยู่ในบ้านเมืองที่ดี ซึ่งไม่น่าเชื่อว่ายังไม่พ้นรุ่นของผมเลย วันนี้ประเทศจีนที่ในอดีตลำบาก และมีคนจน 90 กว่าเปอร์เซนต์ วันนี้แทบจะไม่เหลือคนจนอยู่ในบ้านเมืองเขา”  

“เอ้ สุชัชวีร์” กล่าวว่า คนจีนคนไทยที่วันนี้เราเป็นเนื้อเดียวกันหมดแล้ว เราไม่ต่างอะไรจากคนจีนที่อยู่ในประเทศจีน หรืออยู่ในหลายๆ ประเทศ เราขยัน เราอดทน เราตั้งใจเรียนหนังสือ เราเสียสละทุกอย่างเพื่อแผ่นดินนี้ แต่ทำไมวันนี้ประเทศไทยยังคงเป็นเหมือนเดิม ทำไมกรุงเทพฯ ยังต้องเจอปัญหาซ้ำซาก ซึ่งเชื่อว่าทุกท่านรู้คำตอบว่าเป็นเพราะผู้นำเท่านั้น เช่นเดียวกัน กรุงเทพฯ ควรจะเป็นเมืองที่เติบโตไม่แพ้ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ หรือแม้แต่ที่เซี่ยเหมินซึ่งเป็นบ้านเกิดของต้นตระกูลของตน 

พร้อมกับได้เพิ่มเติมว่า ประเทศจีนวันนี้มีผู้นำที่มีความมุ่งมั่นจากรุ่นสู่รุ่น โดยส่วนตัวตนศรัทธาท่านเติ้ง เสี่ยวผิงมาก ที่ได้วางอนาคตประเทศจีนไปถึง 50 ปี แม้ท่านจะเรียนไม่สูงแต่ได้บอกว่าทายาทของประเทศจีนคนต่อไป ต้องเป็นคนที่รู้เรื่องวิศวกรรม นั่นคือ เจียง เจ๋อหมิน จบวิศวะไฟฟ้า ทำให้ประเทศจีนพลิกผัน ถัดจากนั้น หู จิ่นเทา เป็นวิศวะโยธา เช่นเดียวกับตน และวันนี้ สี จิ้นผิง วิศวะเคมี ประเทศจีนก้าวกระโดดกลายเป็นประเทศมหาอำนาจของโลก หรือในคณะกรรมการบริหารชาติจีนเกือบทั้งหมดจบวิทยาศาสตร์ เพราะจีนบอกว่า การจะขจัดความยากจนต้องใช้เทคโนโลยีเท่านั้น ขณะที่ประเทศไทย กรุงเทพฯ ขาดผู้นำ ถ้ามีผู้นำที่มุ่งมั่น มีพลัง ประเทศไทย กรุงเทพมหานครต้องดีกว่านี้แน่

“วันนี้โทรศัพท์ในประเทศจีนเข้าถึงอินเทอร์เน็ต เป็นสวัสดิการขั้นพื้นฐานของทุกคน ทุกอย่างออนไลน์ใช้ระบบไวไฟ เด็กจีนทุกคนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตฟรี โรงเรียนจีนวันนี้มีนักบินอวกาศสอนหนังสือให้ลูกหลานกว่า 60 ล้านคนพร้อมกันจากนอกโลก ทำให้จีนเป็นประเทศเดียวที่วางแผนให้ลูกหลานอยากเป็นนักบินอวกาศ และนักบินอวกาศสอนว่า วันนี้ว่าคนอเมริกันได้เยียบดวงจันทร์ แต่ลูกหลานคนจีนต้องไปเยียบดาวอังคารก่อนคนอเมริกัน นี่คือสิ่งที่ทำให้จีนเปลี่ยนเป็นประเทศที่ร่ำรวย เป็นประเทศมหาอำนาจ เป็นประเทศที่เท่าเทียมกันได้ภายในเวลาไม่ถึงชั่วคน เพราะเขาเริ่มจากเมือง เริ่มจากการศึกษา เริ่มจากความเท่าเทียมทางสาธารณสุข และยกระดับคุณภาพชีวิต แก้ปัญหาเมืองด้วยเทคโนโลยีเท่านั้น”

“เอ้ สุชัชวีร์” กล่าวว่า ตนมาพร้อมกับความมุ่งมั่น และเมื่อตนได้โอกาสทางการศึกษา จึงอยากใช้โอกาสนี้ หากได้เป็นผู้ว่าฯ กทม. การศึกษาของกรุงเทพฯ จะต้องดีขึ้น ด้วยนโยบาย “โรงเรียนดี ใกล้บ้าน” เพราะทุกท่านก็รู้ว่า หากการศึกษาของเมืองหลวงยังเป็นอย่างนี้ อีกกี่ชาติ ประเทศไทยก็สู้ใครไม่ได้ในอาเซียน ถ้าไปดูการศึกษาของสิงคโปร์ มาเลเซีย วันนี้ไปไกลกว่าประเทศไทยไม่รู้กี่ช่วงตัว เรื่องนี้ผมอยากทำจริงๆ นอกจากการศึกษาแล้ว ผมอยากให้คน กทม. เข้าถึงการรักษาพยาบาลได้เท่าเทียมกัน โดยไม่ต้องเป็นภาระของรัฐ หรือของครอบครัว กทม. ต้องสนับสนุนเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ทันสมัย ด้วยนโยบาย “หมอมี สาธารณสุขดี ใกล้บ้าน”

หน้าแรก » การเมือง