วันอาทิตย์ ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 13:41 น.

การเมือง

"ชูศักดิ์" ชม "สตินวัตกรรม" สันติศึกษา "มจร" มีส่วนช่วยยุติความขัดแย้งสังคมไทย

วันเสาร์ ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2567, 13.25 น.

เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2567   ที่โรงแรมรอยัล ปริ๊นเซส ลานหลวง  เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นประธานเปิดงานและมอบรางวัลลมหายใจสันติภาพของหลักสูตรสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช(มจร) เนื่องในวันสันติภาพสากล  ซี่งปีนี้มีผู้ได้รับการพิจารณารับรางวัล 2 ราย คือ 

พระภาวนาวชิรสุนทร ร วิ. เจ้าอาวาสวัดพุทธเมตตาบุญญาภาพ ประธานมูลนิธิพุทธะมหาเมตตา พระมหาเถระสาวกของพระพุทธเจ้าผู้ออกแบบสตินวัตกรรม และอุทิศชีวิตทำงานกระตุ้นให้ชาวไทยและต่างประเทศ และ ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร  โดยมีพระเมธีวัชรบัณฑิต ผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสน์นานาชาติ (IBSC) และผอ.หลักสูตรสันติศึกษาปริญญาเอก เป็นประธานจัดงาน พร้อมด้วย คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ และนิสิต ร่วมงาน

นายชูศักดิ์ กล่าวว่า วันสันติภาพสากลเป็นวันที่มีความสำคัญอย่างยิ่งเป็นงานแรกที่เข้ามารับตำแหน่ง จึงขอชื่นชม มจร ที่มีหลักสูตรที่มีความสำคัญต่อสังคมคือ หลักสูตรสตินวัตกรรมและสันติศึกษา  โดยสติมีความสำคัญยิ่งต่อชีวิตเพราะเป็นการคิดค้น เรามีความขัดแย้งมายาวนานทำให้เรายังไม่ไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว  ซึ่งการไม่พัฒนาเป็นผลมาจากความขัดแย้ง เรามีนักสันติวิธีจำนวนมาก พยายามให้แง่มุมว่าพยายามลืมอดีตที่ผ่านมาด้วยการให้อภัยแล้วเดินทางไปต่อ แต่ต้องรับผิดแล้วรับหรือสัญญาว่าจะไม่ทำผิดอีก โดยนวัตกรรมจึงเป็นแนวทางในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ อย่างเนลสัน ถือว่าเป็นต้นแบบของนักสันติภาพ นำพาคนดำคนขาวร่วมพัฒนาบ้านเมืองร่วมกัน  

"ขอเล่าเรื่องตอนที่เป็นประธานคณะกรรมาธิการดูแลกฎหมายที่สภานิดหนึ่งว่า ตอนนั้นที่ประชุมปรึกษากันว่าเราจะทำอย่างไร จึงจะหยุดความขัดแย้งในประเทศนี้ ได้เชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งนักวิชาการ ทั้งนักกิจกรรม มาหลายท่านผลสรุปคือ ต้องนิรโทษกรรม ต้องยืมอดีต ต้องให้อภัยซึ่งกันและกัน แต่ต้องมีคนรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งตรงนี้เป็นนโยบายหนึ่งของรัฐบาลชุดนี้ที่จะต้องหาทางยุติความขัดแย้งในประเทศให้ได้ เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อ  ตรงนี้สอดคล้องกับหลักสูตรที่มหาวิทยาลัยสงฆ์ ดำเนินการสอนอยู่ว่า เราจะใช้สตินวัตกรรมอย่างไรให้คนพ้นทุกข์ ให้ยุติความขัดแย้งที่มีอยู่ให้ได้อย่างไร" นายชูศักดิ์ กล่าว 

 ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร (อาจารย์ยักษ์) ประธานมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ  กล่าวในการปาฐกถาพิเศษเรื่อง “โลกเดือดใจไม่เดือด” ว่า  ผมเติบโตมาจากเด็กวัดไปที่ไหนมีแต่สันติภาพ คนโกรธกันยากโกรธไม่เป็น ซึ่งสังคมมีกระบวนการบ่มเพาะที่วัดมีเจ้าอาวาสเป็นผู้สั่งสอนตั้งแต่พ่อแม่ถึงลูก โดยคนในอดีตจะมองส่วนรวมก่อน  ถือว่าเป็น  "กระบวนการให้การศึกษา"  พระสงฆ์ในอดีตดุแต่ไม่ได้โกรธ  ในอดีตจะให้การศึกษาตลอดชีวิต ซึ่งชีวิตผมได้รางวัลมากแต่วันนี้ได้รางวัลที่ภาคภูมิใจมากซึ่งเกี่ยวกับสันติภาพ จึงมองสถานการณ์ปัจจุบัน ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การนำไปปฏิบัติสู่เป้าหมายยั่งยืนและการพัฒนาคนเน้นเปลี่ยนวิธีคิดคน จึงมีการถูกปลูกฝังเกี่ยวกับหิริโอตัปปะตั้งแต่สมัยเด็กๆ  จึงอยากฝากว่าสันติภาพต้องลงไปทำจริงเริ่มจากมิจฉาทิฐิเป็นสัมมาทิฐิ จึงพยายามพัฒนาสัปปายะสถานหมายถึง โคกหนองนามีการวางแผนในการบริหารที่ดิน  ด้วยการทำงานเงียบๆ แล้วให้ความสำเร็จแสดงออกมาเองเสียงดังออกมาเอง  การทำงานด้านสันติภาพจะถือตัวให้ โดยเน้นย้ำว่า "เอาดีมาอวดแต่อย่าอวดดี"  จะต้องนึกถึงคนอื่นก่อน  
      
จึงสรุปว่า “ยุคโลกร้อนได้สิ้นสุดลงแล้วและโลกกำลังเคลื่อนเข้าสู่ยุคโลกเดือดแทน” ถ้อยคำดังกล่าวมาจากสุนทรพจน์ของ อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการแห่งสหประชาชาติ ที่ออกมาเรียกร้องให้บรรดาผู้นำโลกร่วมกันลงมือแก้ปัญหาโลกรวนโดยทันที เพราะสถานการณ์ของมวลมนุษยชาติได้มาถึงจุดอันตราย เนื่องจากอุณหภูมิโลกของเรานั้นร้อนขึ้นๆ ทุกขณะ ตลอดช่วงปีที่ผ่านมา มนุษย์ได้เป็นสักขีพยานต่อเหตุภัยพิบัติใหญ่อันน่าสะพรึงกลัว ไม่ว่าจะเป็นคลื่นความร้อนที่แผดเผาหนักสุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งในอเมริกาเหนือ ยุโรป เอเชีย รวมถึงไทย เหตุไฟป่ารุนแรงทั่วโลก หรือเหตุที่สัตว์ทะเลจำนวนมากถูกพัดมาเกยตื้นตายบนชายหาด โดยที่ทุกเหตุการณ์มีต้นตอสาเหตุเดียวกัน นั่นคือ ‘ภาวะโลกรวน’ ซึ่งเกิดขึ้นจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศโลก

หลายคนคงคุ้นหูกับคำว่า “ภาวะโลกร้อน” ซึ่งกล่าวถึงการเพิ่มอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจากผลกระทบของภาวะเรือนกระจก (Greenhouse Effect) แต่ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2566  ที่ผ่านมา อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการใหญ่ขององค์การสหประชาชาติ (UN) ได้เผยแพร่คำประกาศที่ทำให้เราต้องตระหนักถึงความรุนแรงของสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน คำประกาศกล่าวว่า “ยุคภาวะโลกร้อนสิ้นสุดลงแล้ว พวกเรากำลังอยู่ในยุคภาวะโลกเดือด” นักวิชาการและนักวิจัยทั่วโลกก็เห็นด้วยกับคำประกาศนี้ และกำลังเตือนเต็มพิกัดเกี่ยวกับภาวะโลกเดือด ภาวะนี้ไม่เพียงแค่การเพิ่มอุณหภูมิ แต่ยังมีผลกระทบมหาศาลต่อสิ่งมีชีวิตทั่วโลก ต่อตัวเราและอนาคตของโลกเอง

โดยภาวะโลกเดือดเป็นสถานการณ์ที่สภาพภูมิอากาศของโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง ซึ่งเกิดจากผลกระทบของกิจกรรมมนุษย์ ได้แก่ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก การตัดไม้ป่า การใช้พลังงานหมุนเวียนน้อย และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศธรรมชาติ ผลกระทบของภาวะโลกเดือดรวมถึงอาการร้อนจัด น้ำท่วม การสูญเสียชีวิตและความขาดแคลนทางอาหาร

ขณะที่พระราชวชิรสุนทร ได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ทำงานสติสร้างสุข ผ่านการนำนวัตกรรมมาออกแบบช่วยพัฒนาสติในรูปแบบที่หลากหลาย ร่วมกับวิทยากรท่านอื่นๆ เช่น คุณนพศักดิ์ ตรีพรชัยศักดิ์ เจ้าของแว่นท็อปเจริญ คุณนนทยา อินทรสุขศรี โค้ชสติ  นพ.ยงยุทธ์ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ หมอสติ เป็นต้น
 
สำหรับช่วงบ่าย หลักสูตรสตินวัตกรรมและสันติศึกษา มจร ภาคอินเตอร์ ได้ถอดบทเรียนประสบการณ์จากวิทยากรในหัวข้อต่างๆ  ทั้งสติกับสมอง สติกับผู้นำ สติกับสิ่งแวดล้อม ส่วนภาคภาษาไทยจะเน้นสันติเสวนาถอดบทเรียนการใช้ชีวิตอย่างมีสติ และการนำสติไปประยุกต์ใช้ในการทำงานในแง่มุมที่หลากหลาย 
 
ผลลัพธ์ที่สำคัญในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ เป็นการกระตุ้นให้มนุษยชาติได้ตระหนักรู้คุณค่าและความสำคัญของสติ และสันติภาพ ที่ถือได้ว่าเป็นหลักการและแนวปฏิบัติที่ชาวโลกจำเป็นต้องนำมาปฏิบัติในชีวิตจริง เพื่อจะได้พัฒนาคุณค่าภายในและอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
 

หน้าแรก » การเมือง